กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้

หน้า: 1 ... 7 8 [9] 10
81


Ford กำลังพา Mustang Mach-E รุ่นดัดแปลงพิเศษไต่เขา Pikes Peak ในงาน Race to the Clouds ปีที่ 103 ซึ่งแม้ว่าคันนี้จะเป็นเวอร์ชัน “ลดครึ่งกำลัง” จากของจริง แต่ตัวเลขแรงม้า 1,421 แรงม้า ก็ยังมากพอจะทำให้ทุกคนต้องเหลียวมอง



Mach-E คันนี้ใช้มอเตอร์ 3 ตัว (1 ตัวที่ล้อหน้า และ 2 ตัวที่ล้อหลัง) แบบเดียวกับที่เคยใช้ใน SuperTruck เมื่อปีที่แล้ว แต่คราวนี้ Ford ปรับให้เบาขึ้นถึง 117 กิโลกรัม และเพิ่มแรงกดอากาศจาก 6,125 ปอนด์ เป็น 6,900 ปอนด์ ที่ความเร็ว 150 ไมล์/ชม. เรียกได้ว่า “แน่นถนน” อย่างแท้จริง



สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้น คือ Ford มีเวอร์ชัน 4 มอเตอร์ของ Mach-E ที่สามารถสร้างพลังได้ถึง 2,250 แรงม้าอยู่ในมือ แต่เลือกจะยังไม่ส่งลงแข่งในปีนี้ ด้วยเหตุผลที่ยังไม่ได้เปิดเผย

เบื้องหลังความมั่นใจของ Ford ยังมีนักขับฝีมือระดับโลกอย่าง Romain Dumas ผู้ถือสถิติเร็วที่สุดตลอดกาลของ Pikes Peak (ทำไว้กับ Volkswagen ID.R ในปี 2018) ซึ่งจะกลับมาบังคับพวงมาลัยให้ Mach-E คันนี้เช่นกัน



Ford บอกว่าโปรเจกต์นี้ไม่ใช่แค่เพื่อสร้างความตื่นเต้นเท่านั้น แต่คือสนามทดสอบจริงจังสำหรับเทคโนโลยีที่เตรียมนำไปใช้ในรถไฟฟ้ารุ่นขายจริง ทั้งระบบควบคุมพลังงาน การจัดการความร้อน และการเก็บข้อมูลเพื่อปรับปรุงการขับขี่ในระดับสูง

และถึงแม้ Mustang Mach-E จะเป็นรถ 4 ประตู ที่ในสายตาแฟนพันธุ์แท้อาจดู “นอกรีต” แต่ถ้าดูจากคันที่กำลังจะขึ้นเขาในวันที่ 22 มิถุนายนนี้ อาจต้องยอมรับว่า “ความแรง” ก็ช่วยให้ลืมเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของชื่อ Mustang ไปชั่วคราวได้เหมือนกัน

ที่มา Carscoops
82
Sexy Room / (รูปภาพ เซ็กซี่ 18+) • เทียร์ •
« กระทู้ล่าสุด โดย Hugball เมื่อ 22-06-25, 09:14:48 am »









Model : Sasikran Boonprasert
Photo : Artwha Desu
83
Sexy Room / (รูปภาพ เซ็กซี่ 18+) • เฟย์ •
« กระทู้ล่าสุด โดย Hugball เมื่อ 22-06-25, 09:11:39 am »














ช่างภาพ : ปวีณ กุลเกษม
นางแบบ : เฟย์ ชาคริยา
84
Motor Zone / ขับรถแล้วเจอไฟแดงกระพริบต้องทําอย่างไร?
« กระทู้ล่าสุด โดย Hugball เมื่อ 22-06-25, 09:09:05 am »


สัญลักษณ์จราจรที่มีติดอยู่บนเส้นทางต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสายหลักหรือสายรอง เราก็ต้องปฏิบัติตามป้ายหรือสัญญาณจราจรนั้น ๆ อย่างเคร่งครัด แต่มีหลายคนเลยที่มีข้อสงสัยว่า การที่เราขับรถไปเจอกับไฟแดงที่กระพริบอยู่ ควรต้องทำตัวอย่างไร วันนี้เรามีคำตอบครับ



ถ้าไปเปิดดูตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 22 ในหมวดลักษณะ 2 สัญญาณจราจรและเครื่องหมายจราจร จะมีระบุเอาไว้ในวงเล็บ 5 ว่า "สัญญาณจราจรไฟกระพริบสีแดง ถ้าติดตั้งอยู่ที่ทางร่วมทางแยกใดเปิดทางด้านใดให้ผู้ขับขี่ที่มาทางด้านนั้นหยุดรถหลังเส้นให้รถหยุด เมื่อเห็นว่าปลอดภัยและไม่เป็นการกีดขวางการจราจรแล้ว จึงให้ขับรถต่อไปได้ด้วยความระมัดระวัง" นั่นหมายความว่า ถ้าทางที่คุณกำลังขับรถไป แล้วพบกับสัญญาณไฟแดงกระพริบ ให้จอดรถจนหยุดสนิทที่หลังเส้นตรงทางแยกก่อน แล้วมองรอบด้านว่ามีรถวิ่งมาหรือไม่ ถ้าไม่มีก็ให้เดินหน้าผ่านแยกนั้นไปได้เลย



แต่ถ้าเจอสัญญาณจราจรไฟกระพริบสีเหลืองต้องทำอย่างไร ก็มีระบุเอาไว้ในวงเล็บ 6 ว่า "สัญญาณจราจรไฟกระพริบสีเหลืองอำพัน ถ้าติดตั้งอยู่ ณ ที่ใด ให้ผู้ขับขี่ลดความเร็วของรถลงและผ่านทางเดินรถนั้นไปด้วยความระมัดระวัง" หมายความว่าถ้าเราเจอสัญญาณไฟกระพริบสีเหลือง ให้เราเพียงแค่ชะลอความเร็วเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องหยุด ถ้าเห็นว่าปลอดภัยแล้วสามารถเดินหน้าผ่านแยกนั้นไปได้เลย

ข้อมูลจาก Krisdika
85
Sexy Room / (รูปภาพ เซ็กซี่ 18+) • น้ำผึ้ง •
« กระทู้ล่าสุด โดย Hugball เมื่อ 22-06-25, 09:00:03 am »








Model : น้องน้ำผึ้ง
86
Sexy Room / (รูปภาพ เซ็กซี่ 18+) • พะแพง •
« กระทู้ล่าสุด โดย Hugball เมื่อ 22-06-25, 08:57:21 am »







Model : Pakaporn Foxypapang Saeho
Photographer : -
87


ปัญหาซ่อมผิดพลาด, ซอฟต์แวร์รวน, และฮีตเตอร์เครื่องยนต์ร้อนจัด คือไฮไลต์ของการเรียกคืนรอบล่าสุดจาก Ford

Ford กำลังเผชิญกับปัญหาการเรียกคืนที่ร้อนแรง (และอาจไฟไหม้ได้จริง) หลังออกประกาศ เรียกคืนรถยนต์รวม 5 แคมเปญ ซึ่งรวมถึงสองกรณีที่เกี่ยวข้องกับ “ความเสี่ยงไฟไหม้” โดยตรง



เรียกคืนครั้งแรก – รถเคยซ่อมมาแล้วแต่ยังมีปัญหาอีก

ครอบคลุมรถทั้งหมด 1,797 คัน ที่เคยถูกเรียกคืนก่อนหน้านี้แล้ว แต่มีการซ่อมไม่สมบูรณ์ ได้แก่:

Lincoln Corsair ปี 2021–2023
Ford Escape ปี 2020–2023
Ford Maverick ปี 2022–2023
รถยนต์กลุ่มนี้เป็นแบบ ไฮบริดและปลั๊กอินไฮบริด ใช้เครื่องยนต์ 2.5 ลิตร ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะ ปล่อยไอน้ำมันเชื้อเพลิงและน้ำมันเครื่องเข้าสู่ห้องเครื่องยนต์ และหากสะสมอาจทำให้เกิด “เพลิงไหม้” ได้

แนวทางแก้ไข:
ดีลเลอร์จะติดตั้งซอฟต์แวร์ควบคุมเครื่องยนต์ (Powertrain Control Module) เวอร์ชันใหม่

คำเตือนจาก Ford:
หากผู้ขับ ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ผิดปกติ, รู้สึกว่ารถเร่งไม่ขึ้น, หรือ เห็นควันออกจากห้องเครื่อง — ให้ จอดรถทันทีและดับเครื่อง



เรียกคืนครั้งที่สอง – ฮีตเตอร์เครื่องยนต์ร้อนเกินไป

อีก 6,781 คัน ถูกเรียกคืนเนื่องจาก ฮีตเตอร์บล็อกเครื่องยนต์ อาจร้อนจัดเมื่อเสียบปลั๊ก ทำให้เสี่ยงเกิดความเสียหายหรือไฟไหม้ได้ โดยรุ่นที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่:

Lincoln Corsair (2023–2025)
Ford Escape (2023–2025)
Lincoln Nautilus (2024–2025)
Ford Maverick (2025)
Ford Bronco Sport (2025)
Ford ระบุว่าได้รับ รายงานปัญหา 120 ครั้ง ที่อาจเกี่ยวข้องกับเหตุนี้ แม้ยังไม่เกิดไฟไหม้หรือบาดเจ็บ แต่ก็ถือเป็นความเสี่ยงสำคัญ

แนวทางแก้ไข:
ดีลเลอร์จะทำการเปลี่ยนฮีตเตอร์เครื่องยนต์ใหม่ พร้อมตรวจสอบหรือเปลี่ยนสายไฟเชื่อมต่อหากจำเป็น



เรียกคืนครั้งที่สาม – เครื่องยนต์อาจพังจากก้านสูบผิดพลาด

ในรถบางรุ่นปี 2025 ที่ใช้เครื่องยนต์ 3.3 หรือ 3.5 ลิตร ได้แก่:

Ford Transit
Ford F-150
Ford Explorer
จำนวนรวม 154 คัน พบว่าอาจมีการ กลึงก้านสูบผิดพลาด ซึ่งสามารถทำให้ชิ้นส่วนภายในเครื่องเสียหาย และนำไปสู่ ความล้มเหลวของเครื่องยนต์ ได้

Ford คาดว่า ประมาณ 20% ของรถที่ถูกเรียกคืนนั้นมีปัญหาจริง ปัจจุบันยังไม่มีแนวทางการแก้ไขที่ชัดเจน

เรียกคืนครั้งที่สี่ – ซอฟต์แวร์หน้าจอรวน

Ford เรียกคืน Lincoln Nautilus รุ่นปี 2024 รวม 30,679 คัน จากปัญหาซอฟต์แวร์ที่อาจทำให้หน้าจอหลักและจอพาโนรามาเกิดอาการ “รีบูตเอง” จนกลายเป็นจอดำ

ผลกระทบ:
ผิดข้อกำหนดความปลอดภัยหลายด้าน เช่น

กล้องมองหลังไม่แสดงภาพ
มองไม่เห็นตำแหน่งเกียร์
ระบบอินโฟเทนเมนต์ไม่ทำงาน
แนวทางแก้ไข:
อัปเดตซอฟต์แวร์ผ่านระบบ OTA หรือเข้าศูนย์เพื่อทำการอัปเดตด้วยตนเอง

เรียกคืนครั้งที่ห้า – ระบบตรวจลมยางไม่เตือน

รถที่ได้รับผลกระทบคือ Ford F-150 Lightning รุ่นปี 2022 (192 คัน) ซึ่งอาจมีปัญหาที่ระบบตรวจสอบแรงดันลมยาง (TPMS) ไม่แจ้งเตือนเมื่อแรงดันต่ำ

แนวทางแก้ไข:
อัปเดตซอฟต์แวร์ Body Control Module (BCM)

การเรียกคืนชุดใหญ่นี้สะท้อนให้เห็นว่า Ford ยังเผชิญกับปัญหา คุณภาพชิ้นส่วน, ซอฟต์แวร์ที่ไม่เสถียร, และ กระบวนการซ่อมที่ยังผิดพลาดซ้ำซ้อน อยู่ไม่น้อย ซึ่งในบางกรณีอาจนำไปสู่ อุบัติเหตุหรือไฟไหม้ ได้จริง หากคุณเป็นเจ้าของรถรุ่นที่เกี่ยวข้อง อย่ารอช้า ควรติดต่อดีลเลอร์เพื่อเช็กสถานะรถของคุณโดยเร็ว

ที่มา Carscoops
88


Volvo เปิดตัวรุ่นปรับโฉมของ XC60 ไปเมื่อไม่นานนี้ และตอนนี้ก็มีข่าวดีเพิ่มเติมสำหรับปีโมเดล 2026 โดยเฉพาะในด้าน เทคโนโลยีภายในรถ ซึ่งไม่ใช่แค่รถรุ่นใหม่เท่านั้นที่จะได้รับการอัปเกรด



Volvo Car UX ใหม่ จะมาถึงรถตั้งแต่ปี 2020 ผ่าน OTA
หนึ่งในไฮไลต์ของการเปลี่ยนแปลงคือ อินโฟเทนเมนต์ระบบใหม่ทั้งหมด ที่ Volvo เรียกว่า “Volvo Car UX” ซึ่งก่อนหน้านี้เริ่มใช้ในรุ่นใหม่อย่าง EX30, EX90 และ XC90 รุ่นปรับโฉม
และตอนนี้มันจะถูกติดตั้งในรถ Volvo ทุกรุ่นที่ผลิตในปี 2026
ข่าวดียิ่งกว่านั้นคือ ระบบ UX ใหม่นี้จะถูกส่งต่อไปยังรถรุ่นเก่าที่มี Google built-in ผ่านการ อัปเดตแบบ Over-the-Air (OTA)
ซึ่งหมายความว่ารถ มากกว่า 2.5 ล้านคันทั่วโลก ที่ผลิตตั้งแต่ ปี 2020 จะได้รับอินเทอร์เฟซใหม่โดยไม่ต้องเข้าศูนย์
รุ่นที่ได้รับอัปเดตนี้ ได้แก่
* C40, XC40, EX40, EC40
* S60, V60, V60 Cross Country
* XC60, S90, V90, V90 Cross Country
* และ XC90
แม้ Volvo จะยังไม่เปิดเผยรายละเอียดเชิงลึกของ UX ใหม่ แต่ระบุว่าระบบใหม่นี้ถูกออกแบบให้ “งานที่เคยซับซ้อน กลายเป็นเรื่องง่าย” และพัฒนาโดยอิงจาก ข้อมูลการใช้งานจริงและคำติชมของลูกค้า เพื่อให้ผู้ขับขี่รู้สึกว่าใช้งานได้อย่างปลอดภัยและเพลิดเพลิน



รถใหม่ปี 2026 จะเร็วกว่าเดิมทั้งระบบ
นอกจากซอฟต์แวร์ Volvo ยังอัปเกรด ฮาร์ดแวร์ของระบบอินโฟเทนเมนต์ โดยหันไปใช้ ชิปของ Qualcomm ซึ่งช่วยให้ระบบ Android Automotive ทำงานได้เร็วกว่าเดิมถึง 2 เท่า
พร้อมทั้งประสิทธิภาพการตอบสนองที่ดีขึ้น และกราฟิกที่ประมวลผลได้เร็วขึ้นถึง 10 เท่า

ระบบ Adaptive Cruise Control เป็นอุปกรณ์มาตรฐานแล้ว
Volvo ยังประกาศว่า ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (Adaptive Cruise Control) จะกลายเป็น อุปกรณ์มาตรฐาน สำหรับรถทุกรุ่นในสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์ “พรีเมียมที่ใส่ใจความปลอดภัย”

สีใหม่ และแพ็คเกจตกแต่งดำล้วน
ไฮไลต์สุดท้ายของปีโมเดล 2026 คือการเพิ่มสีใหม่ 2 สี ได้แก่
* Aurora Silver
* Forest Lake
พร้อมกันนี้ XC40 จะได้เวอร์ชันตกแต่งพิเศษ Black Edition ซึ่งจะคล้ายกับของ XC60 ที่เคยเปิดตัวไปก่อนหน้า
เน้นลุคดำดุ ด้วย ล้อสีดำ, ตราสัญลักษณ์สีดำ, และ กระจังหน้าสีดำ

ที่มา Carscoops
89


Mazda เดินหน้าสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ เตรียมผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุดในปี 2027 ที่โรงงาน Hofu 2 ประเทศญี่ปุ่น โดยไม่ต้องสร้างไลน์ผลิตเฉพาะสำหรับ EV เหมือนผู้ผลิตรายอื่น แต่ใช้ระบบการผลิตใหม่ที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถผลิตทั้งรถยนต์ไฟฟ้า (BEV), ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV), ไฮบริด, และเครื่องยนต์เบนซิน-ดีเซล บนไลน์เดียวกัน



ด้วยกระบวนการผลิตใหม่นี้ Mazda ระบุว่าสามารถลดต้นทุนการลงทุนได้ถึง 85% เมื่อเทียบกับการสร้างไลน์ผลิต EV ใหม่ทั้งหมด และยังช่วยลดระยะเวลาการเตรียมการผลิตลงถึง 80%

โรงงาน Hofu 2 ซึ่งปัจจุบันผลิต Mazda CX-60, CX-70, CX-80 และ CX-90 ได้เปลี่ยนระบบจากสายพานลำเลียงแบบเดิม มาเป็นแท่นเคลื่อนที่อัตโนมัติบนพื้นโรงงาน พร้อมใช้หุ่นยนต์ขนส่งระบบขับเคลื่อน (AGV) สำหรับประกอบชุดระบบขับเคลื่อนเข้าไปในตัวรถ โดยไม่ว่าจะเป็นรถ EV, PHEV หรือเครื่องยนต์ดีเซล ก็สามารถประกอบได้บนไลน์เดียวกันทั้งหมด

ไฮไลต์สำคัญคือ Mazda สามารถขยายไลน์ผลิตได้ภายในเวลาเพียง 7 วัน จากเดิมที่ต้องใช้ถึง 6 สัปดาห์ ซึ่งช่วยให้สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้อย่างรวดเร็ว

คุณ Taketo Hironaka เจ้าหน้าที่บริหารระดับสูงฝ่ายวิศวกรรมการผลิตของโรงงาน Hofu 2 กล่าวว่า Mazda วางแผนใช้แนวทาง “Lean Asset Strategy” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรเดิมให้เต็มศักยภาพ โดยตั้งเป้าให้โรงงานมีอัตราการใช้กำลังการผลิตใกล้เคียง 100% ตลอดเวลา พร้อมรองรับการปรับสัดส่วนการผลิตตามความต้องการของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็น EV 100% หรือ 0% ก็สามารถปรับการผลิตได้อย่างยืดหยุ่น

“การผลิตแบบผสมผสาน (Mixed Production) ช่วยให้เราปรับสัดส่วนของรถยนต์ไฟฟ้าได้ตามดีมานด์ในช่วงเวลานั้น เราอาจผลิต BEV ทั้งหมด หรืออาจไม่เลยก็ได้ แต่เราสร้างระบบที่ยืดหยุ่นเพียงพอแล้ว สำหรับผู้เล่นขนาดเล็กอย่าง Mazda เราเชื่อว่าการใช้สายการผลิตให้เต็มที่ผ่านระบบแบบนี้คือวิธีที่ฉลาดที่สุดในการเข้าสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้า” – Taketo Hironaka กล่าว

Mazda เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ EZ-6 และ EZ-60 ไปก่อนหน้านี้ และการยืนยันแผนการผลิตในญี่ปุ่นครั้งนี้ นับเป็นอีกก้าวสำคัญในการเปลี่ยนผ่านสู่อนาคตของแบรนด์

ข้อมูลจาก Carscoops
90


แม้รถยนต์ไฟฟ้าจะปรากฏในพาดหัวข่าวและหน้าบ้านชาวอเมริกันมากขึ้นทุกปี แต่ผลสำรวจระดับชาติฉบับล่าสุดเผยว่า คนอเมริกันโดยเฉลี่ยยังไม่พร้อมที่จะเปลี่ยนมาเสียบปลั๊ก



การยอมรับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในสหรัฐฯ ยังคงล่าช้ากว่าหลายประเทศทั่วโลก และผลสำรวจประจำปีล่าสุดจาก American Automobile Association (AAA) ก็ช่วยอธิบายได้ว่าทำไมความสนใจใน EV ถึงไม่เพียงแค่ชะลอตัว แต่กลับ ลดลงจริง อย่างน่ากังวล

ตัวเลขที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
* ในผลสำรวจปี 2025 มีเพียง 16% ของผู้ตอบแบบสอบถามที่ระบุว่าตนเอง “น่าจะ” หรือ “น่าจะมาก” จะซื้อ EV ซึ่งถือเป็น ตัวเลขต่ำที่สุด นับตั้งแต่ปี 2019
* ขณะที่ 63% บอกว่า “ไม่น่าจะ” หรือ “ไม่น่าจะมาก” จะเลือก EV — ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนจาก 51% เมื่อสามปีก่อน
* และมีเพียง 23% ที่เชื่อว่า “รถส่วนใหญ่จะเป็นไฟฟ้าในทศวรรษหน้า” เทียบกับ 40% ในปี 2022

ทำไมคนอเมริกันถึงยังไม่เลือก EV?
เมื่อถูกถามว่า “เหตุผลหลัก” ที่ทำให้ไม่ซื้อรถ EV คืออะไร ผลสำรวจระบุว่า:
* 62% กังวลเรื่อง ค่าซ่อมแบตเตอรี่ที่แพงมาก
* 59% มองว่าราคารถ แพงเกินไป
* 57% เห็นว่า EV ยัง ไม่เหมาะกับการเดินทางไกล
* 56% ชี้ว่าเครือข่าย สถานีชาร์จยังไม่สะดวกพอ
* 55% กลัว แบตหมดกลางทาง

นอกจากนี้ยังมีเหตุผลอื่น เช่น:
* 31% กังวลด้านความปลอดภัย
* 27% ไม่สามารถติดตั้งเครื่องชาร์จที่บ้านได้
* 12% กังวลว่า แรงจูงใจและสิทธิพิเศษด้าน EV อาจหมดไปในอนาคต



คนที่ยังสนใจ EV สนใจเพราะอะไร?
ในกลุ่มผู้ที่ยัง “พิจารณา” รถ EV อยู่ ผลสำรวจพบว่า:
* 77% ระบุว่า “ประหยัดค่าน้ำมัน” คือเหตุผลอันดับหนึ่ง
* 59% สนใจเพราะเหตุผลด้าน สิ่งแวดล้อม
* 47% คาดหวังว่า ค่าบำรุงรักษาและซ่อมแซม จะถูกกว่ารถน้ำมัน
อย่างไรก็ตาม ความสนใจใน สิทธิประโยชน์ด้านภาษีและเงินสนับสนุนของรัฐ ก็ลดลงเช่นกัน —
ในปี 2025 มีเพียง 39% ที่บอกว่านี่คือเหตุผลสำคัญ เทียบกับ 60% ในปี 2022
และมีเพียง 22% ที่กล่าวว่า “เทคโนโลยีล้ำสมัย” ของ EV เป็นเหตุผลที่ทำให้อยากซื้อ — ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ลดลงต่อเนื่อง
AAA ชี้ว่าการลดลงของแรงสนับสนุนนี้ สอดคล้องกับทิศทางของนโยบายการเมืองในปัจจุบัน ซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของ Donald Trump กำลังมีแนวโน้ม “ลดหรือยกเลิก” แรงจูงใจด้าน EV หลายรายการ

อนาคตของ EV ในสายตาชาวอเมริกัน: ยังไม่แน่นอน
แม้ปัจจุบันมีรถ EV หลากหลายรุ่นให้เลือกในตลาดสหรัฐฯ แต่ ผู้บริโภคยังมีความลังเลชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับ “รถไฮบริด” ที่ดูจะได้รับความนิยมมากกว่าในสายตาคนอเมริกันส่วนใหญ่
Greg Bannon ผู้อำนวยการฝ่ายวิศวกรรมยานยนต์ของ AAA กล่าวว่า:
“นับตั้งแต่เราเริ่มติดตามความสนใจในรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ เราเห็นความผันผวนมาโดยตลอด... แม้ผู้ผลิตรถยนต์จะมุ่งมั่นกับแผนระยะยาวเรื่องการใช้พลังงานไฟฟ้า และออกโมเดลใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง แต่ความลังเลของผู้บริโภคก็ยังเป็นเรื่องที่แก้ไม่ตก”

ข้อมูลการสำรวจ:
* ดำเนินการโดย AAA ระหว่างวันที่ 6–10 มีนาคม 2025
* ผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 1,128 คน
* ครอบคลุมประชากรประมาณ 97% ของครัวเรือนในสหรัฐอเมริกา

ที่มา Carscoops
หน้า: 1 ... 7 8 [9] 10