กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้

หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 10
21
Sexy Room / (รูปภาพ เซ็กซี่ 18+) • JaJaa •
« กระทู้ล่าสุด โดย Hugball เมื่อ 01-06-25, 09:33:28 am »

















Model : JaJaa Zarinyap
Photographer : Wachirawit Piyarattanapong
22
Sexy Room / (รูปภาพ เซ็กซี่ 18+) • Cat •
« กระทู้ล่าสุด โดย Hugball เมื่อ 01-06-25, 09:30:03 am »







Model : instagram.com/catnardear
Photographer : 23August
23
Sexy Room / (รูปภาพ เซ็กซี่ 18+) • Eye •
« กระทู้ล่าสุด โดย Hugball เมื่อ 31-05-25, 09:24:32 am »









Model : Porntaprewee Sripreserth
Photographer : Changnum Bigcol
24
Sexy Room / (รูปภาพ เซ็กซี่ 18+) • ซัน •
« กระทู้ล่าสุด โดย Hugball เมื่อ 31-05-25, 09:21:28 am »












Model : Saejao Su
Photographer : Wachirawit Piyarattanapong
25


XPeng กำลังจะเปิดตัว P7 รุ่นใหม่ ที่ไม่เพียงแค่ปรับดีไซน์ให้ดูโฉบเฉี่ยวขึ้นอย่างมีเอกลักษณ์สไตล์ Lamborghini แต่ยังมาพร้อมกับสมรรถนะที่แรงเกินความคาดหมาย โดยล่าสุดมีข้อมูลจากกระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีของจีนที่เปิดเผยรายละเอียดสำคัญของรถรุ่นนี้ ซึ่งเตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน Guangzhou Auto Show ช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี



XPeng P7 รุ่นปี 2025 จะมีให้เลือกหลายขุมพลัง โดยรุ่นพื้นฐานใช้มอเตอร์ไฟฟ้าติดตั้งที่ล้อหลัง ให้กำลังสูงถึง 363 แรงม้า ทำงานร่วมกับแบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออนฟอสเฟตจาก EVE Energy แม้ยังไม่มีการเปิดเผยความจุแบตฯ ที่แน่ชัด

สำหรับผู้ที่ต้องการวิ่งได้ไกลขึ้น XPeng ก็มีเวอร์ชันระยะไกลที่ยังคงกำลังไว้ที่ 363 แรงม้า แต่ใช้แบตเตอรี่ NMC (Nickel Manganese Cobalt) จาก CALB ที่ใหญ่กว่าเพื่อรองรับระยะทางที่มากขึ้น



หากยังไม่พอ รุ่นท็อปแบบขับเคลื่อนสี่ล้อด้วยมอเตอร์คู่ จัดเต็มด้วยแรงม้ารวม 586 ตัว โดยประกอบด้วยมอเตอร์ 363 แรงม้าที่ล้อหลัง และอีก 223 แรงม้าที่ล้อหน้า พร้อมเบรกสมรรถนะสูงจาก Brembo ที่มาพร้อมคาลิปเปอร์สีส้มโดดเด่น

ในด้านดีไซน์ รุ่นใหม่นี้จะมาพร้อมล้อให้เลือกทั้งขนาด 20 และ 21 นิ้ว ใส่ยางสมรรถนะสูง Michelin Pilot Sport EV ที่หน้ากว้าง 245 มม. และหลัง 275 มม. พร้อมออปชันล้อดีไซน์พิเศษถึง 3 แบบ และตกแต่งด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ฟอร์จในจุดต่าง ๆ เช่น กระจกมองข้างและแผงข้างซุ้มล้อหน้า



ขนาดตัวถังของ XPeng P7 ใหม่อยู่ที่ความยาว 5017 มม., กว้าง 1970 มม., สูง 1427 มม. และฐานล้อยาวถึง 3008 มม. ซึ่งน่าจะให้พื้นที่ภายในกว้างขวางในระดับรถหรู ขณะที่น้ำหนักรถเปล่าอยู่ที่ประมาณ 2,090 กิโลกรัม

แม้จะน่าสนใจแค่ไหน แต่ข่าวร้ายสำหรับแฟน ๆ ต่างประเทศคือ XPeng ยังไม่มีแผนวางจำหน่ายรุ่นนี้นอกจีนในเร็ว ๆ นี้ นั่นหมายความว่าผู้ที่อยากสัมผัสพลังของ P7 โฉมใหม่ อาจต้องบินตรงไปถึงแดนมังกร

ที่มา Carscoops
26


ในขณะที่ Toyota GR Corolla กำลังเป็นที่ต้องการสูงในอเมริกาเหนือ แต่การผลิตจากญี่ปุ่นกลับไม่สามารถตอบสนองได้เพียงพอ ทำให้ Toyota เตรียมแก้เกมด้วยการขยายไลน์ผลิตไปยังประเทศที่ไม่มีสิทธิ์วางขายรถรุ่นนี้เลย นั่นคือ สหราชอาณาจักร



ย้ายฐานผลิตเพื่อแก้ปัญหาคอขวด
เดิมที GR Corolla ถูกผลิตเฉพาะที่โรงงาน Motomachi ในโยโกฮาม่า ประเทศญี่ปุ่น แต่ด้วยกำลังการผลิตเพียง 8,000 คันต่อปี ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ โดยเฉพาะในตลาดอเมริกาเหนือ ที่แฟน ๆ รอคอยนานกว่าจะได้ครอบครอง

ล่าสุด Toyota เตรียมลงทุน 8 พันล้านเยน (ประมาณ 55.6 ล้านดอลลาร์) เพื่อเปิดสายการผลิต GR Corolla ที่โรงงาน Burnaston ใน Derbyshire ประเทศอังกฤษ ซึ่งเดิมผลิต Corolla รุ่นพื้นฐานอยู่แล้ว คาดว่าไลน์ผลิตใหม่นี้จะพร้อมใช้งานภายใน กลางปี 2026 และจะมีเป้าหมายผลิต 10,000 คันต่อปี สำหรับอเมริกาเหนือโดยเฉพาะ



ผลิตในอังกฤษ ขายให้คนอเมริกัน เพราะคนอังกฤษซื้อไม่ได้
แม้จะผลิตใน UK แต่ GR Corolla ยังคง ห้ามจำหน่ายในยุโรปและอังกฤษ เนื่องจากไม่ผ่านข้อกำหนดด้านมลพิษของภูมิภาค ทำให้รถที่ผลิตออกมาทั้งหมดจะถูกส่งตรงไปยังสหรัฐฯ และแคนาดาเท่านั้น

กลยุทธ์รุกอเมริกาแม้ยังมีอุปสรรคด้านภาษี
แม้สหรัฐฯ จะลดภาษีนำเข้ารถจากสหราชอาณาจักรเหลือ 10% (สำหรับไม่เกิน 100,000 คันต่อปี) แต่รถจากญี่ปุ่นยังต้องเจอภาษี 25% อยู่ ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาใหม่ อย่างไรก็ตาม Toyota ยืนยันว่าจะ “ดูดซับต้นทุนเอง” เพื่อให้ราคาขายไม่เปลี่ยนแปลง



เสน่ห์ของ GR Corolla ยังแรงต่อเนื่อง
เปิดตัวครั้งแรกในปี 2022 GR Corolla ใช้เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 3 สูบ ขนาด 1.6 ลิตร กำลัง 300 แรงม้า พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ (AWD) ที่พัฒนาต่อยอดจากประสบการณ์แรลลี่ Toyota เตรียมปล่อยรุ่นไมเนอร์เชนจ์ปี 2026 ที่มีอัปเกรดด้านแอโร่ไดนามิก แชสซี และแรงบิดเพิ่มเติม

ที่มา Carscoops
27


หลังจากเผยโฉมครั้งแรกที่งาน Shanghai Auto Show เมื่อเดือนที่ผ่านมา Mazda ก็เตรียมปล่อย EZ-60 รุ่นขับเคลื่อนไฟฟ้าล้วน (BEV) สู่ตลาดจีนเร็ว ๆ นี้ โดยล่าสุดมีข้อมูลหลุดจากกระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศของจีน (MIIT) เผยรายละเอียดหลายด้าน ทั้งสมรรถนะ มอเตอร์ และแบตเตอรี่



รูปลักษณ์คุ้นตา แต่เน้นความทันสมัย
EZ-60 เวอร์ชันไฟฟ้าล้วนยังคงดีไซน์เหมือนกับรุ่นขยายระยะทาง (range-extended) ที่จะใช้ชื่อว่า CX-6e ในยุโรป มาพร้อมไฟหน้าแบบแยกชั้น (split lighting), กระจังหน้าแบบทึบ, กระจกมองข้างดิจิทัล, มือจับประตูแบบฝังเรียบ และซุ้มล้อที่หุ้มด้วยพลาสติกคลุมรอบ

ขุมพลังและตัวเลขน่าสนใจ
ข้อมูลจาก MIIT เผยว่า EZ-60 BEV ใช้มอเตอร์ไฟฟ้ากำลัง 255 แรงม้า (190 กิโลวัตต์) ทำความเร็วสูงสุดได้ 185 กม./ชม., แบตเตอรี่เป็นชนิด LFP (Lithium Iron Phosphate) ที่เน้นความปลอดภัยและความทนทาน น้ำหนักตัวรถสูงสุดอยู่ที่ 2,180 กก.



Mazda คาดว่า EZ-60 จะทำระยะทางได้ ราว 600 กม. ตามมาตรฐาน CLTC ของจีน ซึ่งถือว่าให้ตัวเลขสูง เช่นเดียวกับ Tesla Model Y RWD ที่ได้ 593 กม. และ AWD ที่ได้สูงถึง 719 กม. ตามมาตรฐานเดียวกัน

บาลานซ์และการควบคุมที่ต่างจากรุ่นลูกผสม
แม้จะมีรูปลักษณ์ภายนอกเหมือนกัน แต่เวอร์ชันไฟฟ้าล้วนจะมีอัตราส่วนการกระจายน้ำหนักหน้า/หลังอยู่ที่ 47:53 ขณะที่รุ่นลูกผสมแบบ range-extended จะเน้นบาลานซ์ 50:50 มากกว่า

ยอดจองทะลุ 18,000 คัน – แม้จะจ่ายแค่ 10 หยวนก็จองได้
Mazda เปิดเผยว่ายอดจอง EZ-60 หลังเปิดตัวทะลุ 18,000 คัน แล้ว แต่ก็ต้องระวังการตีความ เพราะการจองในจีนสามารถทำได้ง่ายดายด้วยเงินมัดจำเพียง 10 หยวน (ราว 1.39 ดอลลาร์สหรัฐ) เท่านั้น

ภายในไฮเทคไม่แพ้ภายนอก
ภายในห้องโดยสารคาดว่าจะมาพร้อมจอ HUD แบบ 3D, หน้าจออินโฟเทนเมนต์ขนาดใหญ่ถึง 26.45 นิ้ว, ระบบผู้ช่วย AI, ลำโพง 23 ตัว, และเบาะคู่หน้าแบบ “Zero-Gravity” ที่มีฟังก์ชันนวด 8 โหมด

ที่มา Carscoops
28


สถานการณ์ของ Nissan กำลังอยู่ในภาวะตึงเครียดขั้นสุด หลังเผชิญกับวิกฤตการเงินต่อเนื่อง และซ้ำเติมด้วยภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศใช้เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทำให้ล่าสุดมีรายงานว่า Nissan อาจจำเป็นต้องขายสำนักงานใหญ่ในเมืองโยโกฮามา ประเทศญี่ปุ่น เพื่อประคองธุรกิจไม่ให้ล้ม



ตามรายงานของ Nikkei Asia Nissan ได้บรรจุสำนักงานใหญ่แห่งนี้ไว้ในรายชื่อสินทรัพย์ที่เตรียมขายภายในเดือนมีนาคม 2026 โดยอาคารแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้สถานีโยโกฮามาและมีมูลค่าประเมินสูงกว่า 100,000 ล้านเยน หรือราว 698 ล้านดอลลาร์สหรัฐ การขายอาคารนี้อาจช่วยระดมทุนสำหรับแผนปิดโรงงาน 7 แห่งจากทั้งหมด 17 แห่งทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีความชัดเจนว่า Nissan จะดำเนินการอย่างไรต่อหลังการขาย หนึ่งในทางเลือกที่เป็นไปได้คือการขายแล้วเช่าคืน เช่นเดียวกับที่ McLaren เคยทำกับสำนักงานใหญ่ที่อังกฤษ ซึ่งขายไปกว่า 237 ล้านดอลลาร์ก่อนทำสัญญาเช่าระยะยาวเพื่อใช้งานต่อ

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงคือผลกระทบจากภาษีนำเข้ารถยนต์ที่สหรัฐฯ กำหนด ซึ่งญี่ปุ่นกำลังพยายามเจรจาลดหรือเลื่อนภาษีออกไป โดยอ้างอิงถึงความสำเร็จของสหราชอาณาจักรและจีนที่สามารถบรรลุข้อตกลงชั่วคราวกับสหรัฐฯ ได้



มาซานาริ คาตายามะ ประธานสมาคมผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่น (JAMA) ยืนยันว่ารัฐบาลญี่ปุ่นยังคงเดินหน้าผลักดันการเจรจาเพื่อลดภาษีให้เร็วที่สุด แต่ยอมรับว่าขณะนี้ยังไม่ชัดเจนว่าภาระภาษีที่เกิดขึ้นจะถูกแบ่งให้ใครรับผิดชอบระหว่างผู้ผลิตชิ้นส่วนหรือผู้ผลิตรถยนต์

“เรายังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะจัดการกับภาษีของทรัมป์อย่างไร และยังไม่มีการหารือแน่ชัดว่าภาระส่วนใดจะตกที่ผู้ผลิตชิ้นส่วนหรือผู้ผลิตรถ” คาตายามะกล่าว “เราอยู่ในเรือลำเดียวกัน”

ในขณะเดียวกัน รัฐบาลญี่ปุ่นได้เปิดให้คำปรึกษาทางการเงินและการซัพพลายเชนแก่ภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากภาษีครั้งนี้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนว่าเส้นทางรอดของ Nissan จะยืดออกไปได้ไกลแค่ไหนหากต้องสูญเสียสำนักงานใหญ่ที่เคยเป็นหัวใจของบริษัทมาเกือบสองทศวรรษ

ที่มา Carscoops
29


Nissan ประกาศขาดทุนอย่างหนักกว่า 670.9 พันล้านเยน หรือราว 161,000 ล้านบาท เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พร้อมเปิดเผยแผน “Re:Nissan” เพื่อฟื้นฟูองค์กร ซึ่งหนึ่งในแนวทางหลักคือการปิดโรงงานผลิต 7 แห่งทั่วโลกภายในเดือนมีนาคม 2028



แม้จะยังไม่เปิดเผยรายชื่อโรงงานทั้งหมดที่ได้รับผลกระทบ แต่แหล่งข่าวจากสำนักข่าว Reuters รายงานว่า Nissan กำลังพิจารณาปิดโรงงาน 2 แห่งในประเทศญี่ปุ่น รวมถึงโรงงานในแอฟริกาใต้และอาร์เจนตินา พร้อมถอนโรงงานในอินเดียออกจากการดำเนินงาน และปรับโครงสร้างโรงงานในเม็กซิโกให้มีความสอดคล้องและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

2 โรงงานของ Nissan ในญี่ปุ่นเสี่ยงถูกปิด
โรงงานที่ถูกจับตามองในญี่ปุ่นคือโรงงาน Oppama และ Shonan
Oppama มีศักยภาพในการผลิตรถยนต์ 240,000 คันต่อปี ปัจจุบันมีพนักงานประมาณ 3,900 คน ผลิตรถยนต์รุ่น Note และ Leaf
Shonan เป็นโรงงานผลิตรถเพื่อการพาณิชย์ที่ร่วมทุนกับอีกบริษัทหนึ่ง โดย Nissan ถือหุ้นอยู่ครึ่งหนึ่ง มีกำลังการผลิตปีละ 150,000 คัน ผลิตรถรุ่น NV200 Vanette, Caravan และ AD Wagon มีพนักงานราว 1,200 คน
หากสองโรงงานนี้ถูกปิดจริง Nissan จะเหลือโรงงานในญี่ปุ่นเพียง 3 แห่ง คือที่ Tochigi และอีกสองแห่งในภูมิภาคคิวชู ถือเป็นการปิดโรงงานในประเทศญี่ปุ่นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2001 ที่เคยปิดโรงงาน Murayama ภายใต้การบริหารของ Carlos Ghosn

ขยายผลกระทบไปยังโรงงานต่างประเทศ
Nissan ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า การผลิตรถกระบะ Navara จะถูกรวมศูนย์ไว้ที่โรงงานในเม็กซิโก โดยจะยุติการผลิตในอาร์เจนตินา ซึ่งปัจจุบันมีการผลิตในสามประเทศคือ เม็กซิโก อาร์เจนตินา และไทย
นอกจากนี้ บริษัทยังยืนยันว่ากำลังถอนตัวจากโรงงานในอินเดีย โดย Renault ซึ่งเป็นพันธมิตรร่วมทุนได้ประกาศเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ว่าจะเข้าซื้อหุ้นของ Nissan ในโรงงานดังกล่าว ซึ่งผลิตรถยนต์อย่าง Nissan Magnite, X-Trail, Renault Kwid, Kiger และ Triber

ขณะเดียวกัน โรงงาน Sunderland ในสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นฐานการผลิต Qashqai, Juke และ Leaf จะไม่ได้รับผลกระทบ รวมถึงโรงงานในสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะปลอดภัยเช่นกัน

แผนฟื้นฟูที่มาพร้อมการลดคนและหยุดพัฒนาบางรุ่น
นอกจากการปิดโรงงาน Nissan ยังวางแผน ลดพนักงานกว่า 20,000 คนภายในเดือนมีนาคม 2028 และมุ่งหาประสิทธิภาพจากแผนกวิจัยและพัฒนา รวมถึง หยุดการพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ที่มีกำหนดเปิดตัวหลังมีนาคม 2027 เป็นการชั่วคราว เพื่อควบคุมต้นทุนและเน้นการฟื้นฟูองค์กรในระยะยาว
ข้อมูลจาก Carexpert
30
Motor Zone / S-Presso หน้าตาใหม่ สไตล์ Jimny ตัวจิ๋ว แต่ลุคลุยไม่เบา
« กระทู้ล่าสุด โดย Hugball เมื่อ 19-05-25, 08:56:33 pm »


Suzuki S-Presso รถเล็กยอดนิยมในหลายประเทศแถบเอเชีย ได้รับการแปลงโฉมโดยสำนักแต่ง GH Style จากอินโดนีเซีย ด้วยคอนเซปต์ "Mini Jimny" จนดู rugged ขึ้นแบบเห็นได้ชัด



รายละเอียดการแต่งที่น่าสนใจ

กระจังหน้าทรงกล่องใหม่แบบเดียวกับ Suzuki Jimny
เปลี่ยนโคมไฟหน้าเป็นทรงกลม พร้อมไฟ DRL ทรงเดียวกัน
กันชนหน้าทรงใหม่ พร้อมไฟตัดหมอกสีเหลือง
ซุ้มล้อโป่งรอบคัน + สเกิร์ตข้างสีดำ
ล้อสีขาวสไตล์ออฟโรด ขนาดพอเหมาะกับตัวถัง
ด้านหลังเปลี่ยนกันชนท้ายใหม่ + สปอยเลอร์บนฝาท้าย



เครื่องยนต์ยังคงเดิม

ขนาด 1.0 ลิตร 3 สูบ ให้กำลัง 67 แรงม้า และแรงบิด 90 นิวตันเมตร
น้ำหนักตัวเบาเพียง 700 กก. ขับขี่ในเมืองคล่องตัว
แม้จะไม่ใช่รถลุยจริงจัง แต่การเปลี่ยนหน้าตาให้คล้าย Jimny ก็ช่วยเสริมคาแรกเตอร์ S-Presso ให้มีเอกลักษณ์มากขึ้น เหมาะกับคนที่ชอบความแตกต่างในงบประหยัด

ที่มา Carscoops
หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 10