
Jim Farley ซีอีโอของ Ford ได้ให้สัมภาษณ์กับ The New York Times ว่า จีนมีความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้านำหน้าไปหลายปี และโอกาสเดียวที่ Ford จะแข่งขันกับอุตสาหกรรมยานยนต์ของจีนได้คือการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีของจีน

"วิธีที่เราจะแข่งขันกับพวกเขาได้คือการเข้าถึงทรัพย์สินทางปัญญาของพวกเขา เหมือนที่พวกเขาต้องการของเรามาเมื่อ 20 ปีก่อน จากนั้นใช้ระบบนิเวศนวัตกรรม ความชาญฉลาดแบบอเมริกัน ขนาดธุรกิจที่ใหญ่ และความใกล้ชิดกับลูกค้าของเรา เพื่อเอาชนะพวกเขาในระดับโลก" Farley กล่าวกับ Thomas L. Friedman แห่ง NYT พร้อมเสริมว่า "นี่จะเป็นหนึ่งในการแข่งขันที่สำคัญที่สุดเพื่อรักษาเศรษฐกิจอุตสาหกรรมของเรา"
แผนดังกล่าวไม่ใช่อนาคตอันไกล แต่กำลังเกิดขึ้นแล้ว โดย Ford กำลังก่อสร้างโครงการ BlueOval Battery Park ซึ่งเมื่อแล้วเสร็จในปี 2026 จะผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนฟอสเฟต (LFP) จำนวนมาก โดยใช้เทคโนโลยีจากบริษัท CATL ของจีน
ข้อมูลที่น่าสนใจคือ เทคโนโลยี LFP นี้แท้จริงแล้วถูกค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Texas และถูกนำไปพัฒนาเชิงพาณิชย์โดย A123 Systems LLC ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพที่ได้รับเงินสนับสนุนจำนวนมากจากรัฐบาล Obama แต่เนื่องจากตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเติบโตช้า ทำให้ A123 ล้มละลาย และทรัพย์สินทางปัญญาด้านแบตเตอรี่ถูกซื้อโดยบริษัทผลิตชิ้นส่วนยานยนต์รายใหญ่ที่สุดของจีนในขณะนั้น
มองย้อนกลับไปจากปี 2025 เป็นเรื่องน่าตกใจที่เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงหลุดจากมือสหรัฐฯ แต่ยังตกไปอยู่ในมือของคู่แข่งรายใหญ่ที่สุด ซึ่งตามรายงานของ Bloomberg ควบคุมการผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนถึง 83% ของโลก
Ford กำลังพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าราคาต่ำกว่า 30,000 ดอลลาร์ เพื่อแข่งขันกับรถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัดจากจีนที่ยังไม่เข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ แต่มีอิทธิพลในภูมิภาคอื่นที่ Ford ดำเนินธุรกิจอยู่ แม้ว่าภาษีนำเข้ารถยนต์จากจีนจะช่วยปกป้อง Ford จากการคุกคามของบริษัทอย่าง BYD ในอเมริกา (ในขณะนี้) แต่ก็ทำให้ Lincoln Nautilus ที่ผลิตในจีนมีราคาแพงขึ้นเมื่อส่งมาขายที่สหรัฐฯ
ข้อมูลจาก Carscoops