กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้

หน้า: 1 [2] 3 4 ... 10
11


โตโยต้าคว้ารางวัล “แบรนด์ที่ทำผลงานยอดเยี่ยมบนโซเชียลมีเดีย” สาขา กลุ่มธุรกิจรถยนต์ 5 ปีซ้อน ในงาน 13th THAILAND SOCIAL AWARDS

บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด คว้ารางวัล “BEST BRAND PERFORMANCE ON SOCIAL MEDIA” หรือ “แบรนด์ที่ทำผลงานยอดเยี่ยมบนโลกโซเชียลมีเดีย” สาขากลุ่มธุรกิจรถยนต์ 5 ปีซ้อน (2021-2025) จากการประกาศรางวัล THAILAND SOCIAL AWARDS ครั้งที่ 13 โดยมี นายอภิสิทธิ์ กาบบัวลอย ผู้จัดการโครงการ ฝ่ายบริหารการตลาดและประชาสัมพันธ์ เป็นตัวแทนรับมอบรางวัล เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ณ ทรู ไอคอน ฮอลล์ ไอคอนสยาม ชั้น 7



THAILAND SOCIAL AWARDS เป็นงานประกาศรางวัลโซเชี่ยลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทยจัดโดย บริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้พัฒนาซอฟแวร์ด้านการวิเคราะห์ข้อมูลตลาดชั้นนำของไทย จุดประสงค์ในการจัดงานเพื่อให้ความสำคัญกับวงการโซเชียลมีเดีย ที่เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนธุรกิจและเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศไทย ผ่านการมอบรางวัลเพื่อส่งเสริม เชิดชูแบรนด์ที่ใช้โซเชียลมีเดียอย่างสร้างสรรค์และยกระดับวงการโซเชียลในสาขาต่างๆ



บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับรางวัล “BEST BRAND PERFORMANCE ON SOCIAL MEDIA” สาขากลุ่มธุรกิจรถยนต์ 5 ปีติดต่อกัน ซึ่งปัจจุบันทางบริษัทให้ความสำคัญกับโซเชียลมีเดียซึ่งเป็นพื้นที่เชื่อมต่อกับลูกค้า โดยมีการพัฒนาเนื้อหา ข้อมูล มัลติมีเดีย ให้เหมาะสมกับแต่ละช่องทางโซเชียลมีเดียที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน นอกจากนั้นทางบริษัทมีการติดตามความรู้สึกและเสียงของลูกค้าที่มีต่ออุตสาหกรรมหรือแบรนด์ ทำให้เราสามารถตอบสนองลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและนำมาซึ่งการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ดียิ่งขึ้น ตลอดจนช่วยป้องกันและแก้ปัญหาต่างๆที่จะส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของลูกค้าอีกด้วย
12


หลังจากมีข่าวว่า นากยกรัฐมนตรีของประเทศไทย ได้ทำการพูดคุยกับผู้จัด F1 เพื่อดึงการแข่งขันมาลงในประเทศไทย ทำให้คนไทยที่เป็นแฟนกีฬาประเภทนี้ดีใจกันล่วงหน้า แต่เคยทราบไหมว่า ถ้าเราดึงมาแข่งขันได้จริง เราต้องเสียเงินเท่าไหร่ วันนี้เรามาลองดูกัน



เจ้าของสิทธิ์ในการแข่งขันรถสูตร 1 หรือ Formula 1 หรือ F1 นั้น เป็นบริษัทที่ชื่อว่า Liberty Media ที่เป็นบริษัทสัญชาติอเมริกัน โดยทำการซื้อสิทธิ์มาตั้งแต่ปี 2016 จาก CVC Capital Partners ด้วยมูลค่ากว่า 4.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แล้วเอามาเพิ่มมูลค่าการแข่งขัน ด้วยการจับมือกับ Netflix เพื่อทำสารคดี Drive To Survive แล้วออกอากาศครั้งแรกในปี 2019 จนได้รับความนิยมอย่างสูง ทำให้มูลค่าของการแข่งขัน F1 นั้น สูงขึ้นไปจากเดิมเป็นอย่างมาก

เมื่อได้รับความนิยมสูงขึ้น การแข่งขัน F1 ก็ได้รับความสนใจจากประเทศต่าง ๆ เป็นอย่างมาก ที่จะนำการแข่งขันไปลงแข่งที่ประเทศของตัวเอง ทำให้ในแต่ละปี เริ่มมีสนามการแข่งขันเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยในปี 2019 มีทั้งหมด 21 สนาม, ปี 2020 เหลือ 17 สนาม เนื่องจากปัญหา Covid-19, ปี 2021 แข่งรวม 22 สนาม, ปี 2022 แข่งขันรวม 22 สนาม, ปี 2023 แข่งขันรวม 22 สนาม และในปี 2024 แข่งขันรวม 24 สนามเลยทีเดียว



ส่วนค่าธรรมเนียม ที่แต่ละประเทศจะต้องจ่ายให้กับผู้เป็นเข้าของลิขสิทธิ์อย่าง Liberty Media นั้น ก็ขึ้นอยู่กับสถานที่ในการจัดการแข่งขัน และเงื่อนไขต่าง ๆ แต่จะอยู่ที่ราว 15-55 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ/ปี หรือประมาณ 545 - 1,980 ล้านบาท/ปี อย่างเช่นการแข่งขันในอิตาลีที่ Monza หรือญี่ปุ่น ค่าธรรมเนียมจะอยู่ที่ 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ/ปี แต่การแข่งขันที่อาเซอร์ไบจานนั้น ต้องจ่ายปีละ 55 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ/ปีเลยทีเดียว แต่ถ้าเป็นสนามเก่าแก่อย่าง Monaco นั้น ก็จ่ายเพียงปีละประมาณ 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ/ปี หรือประมาณ 545 ล้านบาทเท่านั้นเอง แต่ราคานี้น่าจะเกิดจากเป็นสนามที่ทางผู้จัดอยากให้อนุรักษ์เอาไว้นั่นเอง

* ข้อมูลจาก https://formulapedia.com/cost-to-host-f1-race/

ทั้งนี้ ค่าธรรมเนียมนี้ ยังไม่รวมถึงค่าอื่น ๆ ในการจัด เช่น ค่าเช่าสนาม, ค่าจัดงาน, ค่าโปรโมทในประเทศ หรืออื่น ๆ อีกมากมาย มีการประเมินกันว่า ค่าใช้จ่ายในแต่ละสนาม จะมีค่าใช้จ่ายรวมสูงได้ถึง 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 3,600 ล้านบาทเลยทีเดียว



คำถามที่ต้องมีตามมาแน่นอนคือ ด้วยมูลค่าที่ต้องจ่ายไประดับนี้ คุ้มค่าหรือไม่ คำตอบนี้ตอบยากมาก เพราะการประเมินความคุ้มค่าของแต่ละประเทศนั้นต่างกัน แน่นอนว่า การแข่งขันรถแข่งระดับโลกแบบนี้ เป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมารวมกันอย่างแน่นอน และนักท่องเที่ยวเหล่านี้ ก็เป็นผู้มีอันจะกินพอสมควรด้วย เพราะค่าตั๋วเข้าชมการแข่งขันนั้น ไม่ใช่ถูกเลย ขั้นต่ำที่พอจะหาซื้อได้ตามหน้าเว็บไซต์ อย่างเช่นรายการแข่งขันที่สิงคโปร์ ที่ถือว่าราคาถูกที่สุดเป็นอันดับต้น ๆ ของตารางแข่งขันประจำปี ที่เป็นตั๋วเข้าชมวันศุกร์วันเดียว ก็หวดไปที่ 112.77 ยูโร หรือประมาณ 4,454 บาทแล้ว ซึ่งแน่นอนว่า คงแทบไม่มีใครอยากไปเก็บบรรยากาศวันซ้อม Practice 1 + 2 เท่านั้น



ตั๋ว 3 วันเท่าที่หาได้ ณ เวลานี้ ราคาจะอัพขึ้นไปถึง 492.08 ยูโร หรือประมาณเกือบ 2 หมื่นบาทเลย และราคาแพงสุดที่มีตั๋วว่างจำหน่ายอยู่ ก็คือรูปแบบ FORMULA ONE PADDOCK CLUB ที่เข้ารับชมได้ทั้ง 3 วัน ที่มีอาหารและเครื่องดื่มบริการฟรีตลอด, ได้ Pit-Walk, บริการรถส่งถึงประตูเข้า Club, เข้าชมคอนเสิร์ตได้ตลอด, นั่ง Singapore Flyer ฟรี, เข้าได้ทุกโซนของ Circuit Park เป็นต้น ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 8,447.30 ยูโร หรือประมาณ 333,620 บาท และแน่นอนว่า คนที่เข้าชมคงไม่ได้ใช้จ่ายเฉพาะค่าตั๋วเข้าชมการแข่งขัน F1 เท่านั้น มันก็ต้องมีค่าเครื่องบิน, ค่าเดินทาง, ค่าที่พัก, ค่าอาหาร และอื่น ๆ พ่วงเข้ามาหลากหลายอย่าง รวมมูลค่าเป็นเท่าไหร่ไม่สามารถประเมินได้ ซึ่งจำนวนผู้เข้าชมการแข่งขัน F1 ในฤดูกาล 2023 มีผู้ชมเฉลี่ยโดยประมาณ 1 แสนคน/สนาม และมีการประเมินเอาไว้ว่า จะเป็นชาวต่างชาติประมาณ 30% นั่นหมายความว่า เฉพาะนักท่องเที่ยวที่บินเข้ามาชม ก็จะมีราว 30,000 คนเลยทีเดียว และเป็น 3 หมื่นที่มีกำลังซื้อเสียด้วย

*ข้อมูลจาก https://www.formula1.com/ , https://www.channelnewsasia.com/singapore/f1-singapore-grand-prix-2022-host-dates-2481096

นอกจากนี้ ถ้าประเทศไทยจัดได้จริง ก็จะได้ภาพลักษณ์ของไทย ส่งต่อออกไปให้คนทั้งโลกได้เห็น โดยมีค่าเฉลี่ยออกมาว่า จะมีคนทั่วโลกราว 55.2 ล้านคนทั่วโลก รับชมการแข่งขันผ่านทางโทรทัศน์ด้วย ซึ่ง Eyeballs ที่เกิดขึ้นนั้น มันไม่สามารถประเมินเป็นมูลค่าที่แท้จริงได้ แต่เราจะได้นำเสนอประเทศไทยไปสู่ชาวโลกได้อย่างรวดเร็วแน่นอน

ข้อมูลจาก https://www.formula1.com/en/latest/article/formula-1-announces-tv-race-attendance-and-digital-audience-figures-for-2021.1YDpVJIOHGNuok907sWcKW



บทความนี้ ไม่ได้จะบอกว่า การจ่ายเงินระดับ 3 พันล้านบาทนั้นจะคุ้มค่ากับสิ่งที่จะได้ตามมาหรือไม่ เพียงแค่อยากนำเสนอในมิติที่หลากหลาย แน่นอนว่าผู้เขียนเองก็อยากให้มี Event ระดับโลกเกิดขึ้นในประเทศไทยเยอะ ๆ แต่ด้วยจำนวนเงินที่มากขนาดนี้ ก็อาจจะเอาไปทำอะไรอย่างอื่นที่เกิดมรรคผลได้มากกว่านี้ ใครได้อ่านถึงตรงนี้แล้วก็ลองแสดงความคิดเห็นกันได้ว่า คุณว่ามันคุ้มค่าหรือเปล่าครับ
13
Motor Zone / Harley-Davidson Pan America 1250 ST มอเตอร์ไซค์ใหม่ 2025
« กระทู้ล่าสุด โดย Hugball เมื่อ 09-03-25, 09:40:30 pm »


Harley-Davidson Pan America 1250 ST รถมอเตอร์ไซค์สายแอดเวนเจอร์สปอร์ตจาก Harley-Davidson เปิดตัวอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว พร้อมราคาที่ทำเอาตลาดเดือด เมื่อตั้งไว้เพียง 874,000 บาท และทั้ง 3 สีที่วางจำหน่าย ก็ใช้ราคาเดียวกัน



Harley-Davidson Pan America 1250 ST เปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพที่ตอบโจทย์การขับขี่บนท้องถนน และออกแบบขึ้นเพื่อนักขับขี่ที่ต้องการเปลี่ยนสไตล์จากการขับขี่รถมอเตอร์ไซค์สปอร์ตหรือสตรีทไฟท์เตอร์ มาสู่รถมอเตอร์ไซค์ที่คล่องตัวกว่าแต่ยังคงให้ความสะดวกสบายและความสามารถในการขับขี่ทางไกลที่เหนือระดับ มีการออกแบบเบาะที่นั่งให้ผู้ขับขี่อยู่ในตำแหน่งที่พร้อมควบคุมตัวรถได้อย่างมั่นใจและสะดวกสบาย





Harley-Davidson Pan America 1250 ST มาพร้อมกับสมรรถนะรอบด้านจากเครื่องยนต์ Revolution® Max 1250 แบบระบายความร้อนด้วยน้ำ ล้อหน้า 17 นิ้วพร้อมยางสตรีทแบรนด์ชั้นนำ ส่วนประกอบช่วงล่างและระบบเบรกระดับพรีเมียม ปรับช่วงล่างและตำแหน่งเบาะนั่งใหม่ต่ำลง พร้อมด้วยระบบท่อไอเสียน้ำหนักเบาและระบบควิกชิฟเตอร์ (Quickshifter)





Harley-Davidson Pan America 1250 ST ตั้งราคาจำหน่ายเอาไว้เพียง 874,000 บาทเท่านั้น
14
Motor Zone / MG เตรียมเปิดตัว MGS5 EV รถ SUV ไฟฟ้าใหม่บนแพลตฟอร์ม MG4
« กระทู้ล่าสุด โดย Hugball เมื่อ 09-03-25, 09:39:21 pm »


MG กำลังสร้างความกดดันให้กับผู้ผลิตรถยนต์ในยุโรปอีกครั้ง ด้วยการเปิดตัว MGS5 EV รถ SUV ไฟฟ้าใหม่ ซึ่งจะเริ่มวางจำหน่ายในฤดูใบไม้ผลินี้ และมันไม่ใช่ข่าวดีสำหรับแบรนด์รถยนต์ใหญ่ ๆ อย่าง VW และ Stellantis



MGS5 EV จะมาทดแทน MGZS EV โดยใช้แพลตฟอร์มเดียวกันกับ MG4 ฮอทแฮทที่ได้รับคำชมอย่างล้นหลามและกำลังทำยอดขายได้ดีในประเทศต่างๆ เช่น สหราชอาณาจักร ด้วยราคาที่ดึงดูดใจ และยาวประมาณ 4,480 มม. (176.5 นิ้ว) ซึ่งยาวกว่ารุ่น ZS EV ที่มีอยู่ในปัจจุบันถึง 162 มม. (6.4 นิ้ว)

ก่อนหน้านี้ MG ได้เปิดตัวรุ่น ES5 ซึ่งเป็นเวอร์ชันจีนในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ดังนั้นเราจึงมีข้อมูลเกี่ยวกับรถยนต์รุ่นนี้มากกว่าที่เห็นจากภาพทีเซอร์ที่เผยแพร่ในแคมเปญยุโรปในสัปดาห์นี้

MG ได้ปล่อยภาพทีเซอร์ที่มีแสงน้อยสองภาพ (ซึ่งเราได้ปรับแสงให้เห็นได้ชัดขึ้น) โดยภาพแรกแสดงให้เห็นด้านหลังของรถที่มีแถบไฟ LED ขนาดใหญ่ที่มีโลโก้ MG ซึ่งเชื่อมต่อกับไฟท้ายที่โอบรอบแผงหลังของรถ ในขณะที่ภาพที่สองแสดงให้เห็นด้านข้างของรถ โดยไฟท้ายมีรูปทรงเป็นตัว Y และที่จับประตูเป็นแบบดึงแทนที่จะเป็นแบบฝัง



นอกจากนี้ ล้อแม็กของ MGS5 EV ดูเหมือนจะได้รับแรงบันดาลใจจากล้อ Rostyle ที่ใช้ใน MGB และ Midget รุ่นปี 1970 เราได้รวมภาพของ ES5 เวอร์ชันจีนที่ท้ายบทความ เพื่อให้คุณได้เห็นภาพแนวทางการออกแบบที่คาดว่าจะพบได้เมื่อ MGS5 EV เปิดตัวในยุโรปเร็วๆ นี้

ถึงแม้ว่า MG จะไม่ได้เผยรายละเอียดเกี่ยวกับสเปกของ MGS5 EV ในสัปดาห์นี้ แต่เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น MG4 รุ่นเริ่มต้นมาพร้อมกับมอเตอร์เดียวที่มีกำลัง 168 แรงม้า (170 PS / 125 kW) ขับเคลื่อนล้อหน้า ซึ่งเป็นชุดเดียวกับที่ MG ยืนยันสำหรับ ES5 ในประเทศจีน เมื่อมาถึงยุโรป MG4 ยังมีรุ่นที่มีกำลัง 201 แรงม้า (204 PS / 150 kW) หรือแบบขับเคลื่อนสี่ล้อรุ่น XPower ที่มีกำลัง 429 แรงม้า (435 PS / 320 kW) และคาดว่า MG จะนำเสนอทางเลือกเหล่านี้ใน MGS5 EV ในยุโรปเช่นกัน



ถ้าหาก MG4 มีข้อบกพร่องในด้านใด ก็จะเป็นในเรื่องของการออกแบบภายใน ซึ่งวัสดุและดีไซน์ยังตามหลังคู่แข่งจากยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลี แต่ MG กล่าวว่าภายในของ MGS5 EV จะมีการตกแต่งในระดับ ‘พรีเมียม’ พร้อมยังคงราคาที่คุ้มค่า โดยคาดว่า MGS5 EV จะมีราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 32,000-34,000 ปอนด์ เมื่อเทียบกับ ZS EV รุ่นปัจจุบันที่เริ่มต้นที่ £30,495

ที่มา Carscoops
15
Sexy Room / (รูปภาพ เซ็กซี่ 18+) • Bomb •
« กระทู้ล่าสุด โดย Hugball เมื่อ 09-03-25, 09:36:40 pm »









Model : B'Bomb Atomies
Photographer : Phanit Arnamwong
16
Sexy Room / (รูปภาพ เซ็กซี่ 18+) • Cancan •
« กระทู้ล่าสุด โดย Hugball เมื่อ 09-03-25, 09:35:28 pm »









Model : Cancan Could
Photographer : Jinnatri Thanakritta
17
Sexy Room / (รูปภาพ เซ็กซี่ 18+) • Bright •
« กระทู้ล่าสุด โดย Hugball เมื่อ 09-03-25, 09:33:23 pm »









Model : Bright Nutjaleeporn
Photographer : Tai-Lend Photograph
18
Sexy Room / (รูปภาพ เซ็กซี่ 18+) • Kanom •
« กระทู้ล่าสุด โดย Hugball เมื่อ 09-03-25, 09:31:53 pm »









Model : Kanom Kamonrot
Photographer : Artwha Desu
19


Mercedes-AMG ได้ยืนยันว่ากำลังพัฒนาเครื่องยนต์ V8 รุ่นใหม่ สำหรับใช้ในรถยนต์สมรรถนะสูงรุ่นต่อไป โดยการประกาศนี้เกิดขึ้นในการประชุมนักลงทุนครั้งเดียวกับที่บริษัทจากเมือง Affalterbach ได้ยืนยันการพัฒนารถ SUV ตระกูล G-Class ที่มีขนาดเล็กลง



เมอร์เซเดสระบุว่า แบรนด์ AMG มีแผนที่จะ "ก้าวข้ามตลาดรถสมรรถนะสูง" ด้วยการเปิดตัวไลน์อัพรถรุ่นใหม่ที่ได้รับการปรับปรุงอย่างมาก โดยจะเริ่มทยอยเปิดตัวในปี 2026 การปรับปรุงครั้งนี้จะใช้ระบบขับเคลื่อนใหม่ที่ทางบริษัทเรียกว่า "เครื่องยนต์ V8 ไฮบริดเทคโนโลยีสูงรุ่นใหม่"

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดว่าระบบ "ไฮบริด" ที่ว่านี้จะมีความสำคัญมากน้อยเพียงใด ยังไม่ชัดเจนว่าเป็นการพัฒนาขึ้นใหม่ทั้งหมด หรือเป็นการพัฒนาต่อยอดจากเครื่องยนต์ V8 ขนาด 4.0 ลิตรแบบไฮบริดที่มีอยู่เดิม

นอกจากนี้ ยังมีคำถามเกี่ยวกับขนาดแบตเตอรี่ที่จะใช้ โดย Mercedes อาจยังคงใช้ระบบไฟฟ้า 48 โวลต์ที่ใช้อยู่ในรถหลายรุ่น หรืออาจเลือกใช้แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ขึ้นในรูปแบบปลั๊กอินไฮบริด ทั้งนี้ ทราบแน่ชัดว่าเครื่องยนต์ดังกล่าวจะถูกนำไปใช้ในแพลตฟอร์ม AMG.EA ซึ่งจะอยู่ร่วมกับ "รถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูงโดยเฉพาะ"

ในส่วนของเครื่องยนต์ V12 ขนาด 6.0 ลิตร ทาง Mercedes ยืนยันว่าจะยังคงผลิตต่อไป แต่จะมีจำหน่ายเฉพาะในบางตลาดเท่านั้น ในขณะที่เครื่องยนต์ V8 รุ่นใหม่กำลังได้รับการพัฒนาให้ผ่านมาตรฐานการปล่อยมลพิษที่เข้มงวดของสหภาพยุโรป

ข้อมูลจาก Caranddriver
20


Xiaomi กลับมาใช้สต็อปวอทช์อีกครั้ง เพื่อพิสูจน์ว่า SU7 Ultra คือรถยนต์ผลิตจากโรงงานที่เร็วที่สุดที่เคยวิ่งรอบสนาม Shanghai International Circuit (SIC) โดยรถไฟฟ้ารุ่นนี้ทำเวลาได้ 2:09.94 ซึ่งทำลายสถิติที่เคยตั้งไว้ก่อนหน้านี้สำหรับรถที่ผลิตจากโรงงานทุกรุ่นไม่ว่าจะใช้พลังงานประเภทใด



การทำลายสถิติที่ SIC หมายถึงการทำลายสถิติเดิมของ Porsche Taycan Turbo GT ซึ่งเป็นรุ่นเรือธงจาก Porsche ที่มาพร้อมกับตัวเลือกแพ็กเกจ Weissach ซึ่งทำเวลาได้ 2:11.28 ในปี 2024 แม้ว่าพื้นผิวสนามจะค่อนข้างชื้นเล็กน้อยในขณะนั้น

คลิปวิดีโอจากการทำลายสถิติแสดงให้เห็นว่า SU7 Ultra วิ่งที่ความเร็วสูงสุดถึง 201 ไมล์ต่อชั่วโมง (323 กม./ชม.) ในส่วนหลังตรง ขณะที่ Porsche Taycan ทำได้เพียง 180 ไมล์ต่อชั่วโมง (291 กม./ชม.) แม้ว่าจะเบรกช้ากว่าในการเข้าโค้งขวาที่แคบ

ในส่วนของการเปรียบเทียบระหว่าง Porsche และ SU7 จะมีวิดีโอด้านล่างที่แสดงการวิ่งคู่ระหว่างทั้งสองรถ ซึ่งถึงแม้ว่าคุณภาพจะไม่ค่อยดีเท่าคลิปแรก แต่ก็ยังน่าสนใจที่เห็นว่า Ultra สามารถทำเวลาได้เร็วกว่าในส่วนของทางตรง และยังสามารถเห็นได้ว่ามันเสียความได้เปรียบในช่วงโค้งไปบ้าง



SU7 Ultra มาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว โดยมี 1 ตัวอยู่ด้านหน้าและ 2 ตัวที่ด้านหลัง ให้กำลังสูงสุด 1,527 แรงม้า (1,139 kW / 1,548 PS) ซึ่งมากกว่า Taycan Turbo GT ถึง 435 แรงม้า (324 kW / 440 PS) จึงอธิบายได้ว่าทำไมรถของ Xiaomi ถึงสามารถวิ่งเร็วกว่าในส่วนที่เป็นทางตรง

Porsche Taycan Turbo GT ทำเวลา 0-100 กม./ชม. ได้ใน 2.1 วินาที และความเร็วสูงสุดที่ 306 กม./ชม. แต่ SU7 Ultra สามารถทำได้ดีกว่า โดย Xiaomi อ้างว่าเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 1.98 วินาที และทำความเร็วสูงสุดถึง 350 กม./ชม. (217 ไมล์ต่อชั่วโมง)

ไม่ใช่ครั้งแรกที่ SU7 Ultra ทำลายสถิติ Taycan Turbo GT ในปีที่แล้ว Xiaomi เคยทำเวลาได้ 6:46.87 ที่สนาม Nurburgring Nordschleife ซึ่งเร็วกว่า Porsche ถึง 20 วินาที แต่ในครั้งนั้นรถของ Xiaomi ยังเป็นแค่ต้นแบบที่ไม่มีห้องโดยสาร ขณะที่ Porsche ใช้รถที่มีการปรับแต่งเล็กน้อยสำหรับความปลอดภัยในการแข่ง



สำหรับราคาของ SU7 Ultra ที่จะเริ่มจำหน่ายในจีนในเดือนนี้ อยู่ที่ 814,900 หยวน ซึ่งถูกกว่ารุ่น Taycan 4S รุ่นพื้นฐานในสหรัฐฯ ที่ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วน Taycan Turbo GT ในสหรัฐฯ เริ่มต้นที่ 230,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือมากกว่าราคาของ Xiaomi ถึงสองเท่า ในจีน ราคาเริ่มต้นของ Taycan Turbo GT สูงถึง 1,998,000 หยวน หรือประมาณ 275,500 ดอลลาร์สหรัฐ

การทำลายสถิติของ SU7 Ultra ในครั้งนี้ทำให้ Xiaomi ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการสร้างรถไฟฟ้าที่ไม่เพียงแต่เร็ว แต่ยังสามารถท้าทายรถสปอร์ตระดับสูงจาก Porsche ได้สำเร็จ โดยในขณะที่ Taycan Turbo GT ยังคงเป็นรถสปอร์ตที่มีราคาสูง แต่ SU7 Ultra ของ Xiaomi ก็ได้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่คุ้มค่ากว่ามากสำหรับผู้ที่มองหารถยนต์ไฟฟ้าที่ทั้งเร็วและมีราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น

ที่มา Carscoops
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 10