กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้

หน้า: [1] 2 3 ... 10
1


แม้ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ใหม่ในสหรัฐฯ จะกระเตื้องขึ้นเล็กน้อยในเดือนพฤษภาคมเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า แต่หากมองเทียบปีต่อปี กลับลดลงถึง 10.7% ซึ่งส่งผลให้หลายค่ายเริ่มปรับราคาลงและเพิ่มแรงจูงใจในการซื้ออย่างต่อเนื่อง



ข้อมูลจาก Cox Automotive ระบุว่า ราคาขายเฉลี่ยของรถ EV ใหม่ในเดือนพฤษภาคมลดลง 2.3% มาอยู่ที่ราว 57,734 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะเดียวกันยอดเงินสนับสนุนจากดีลเลอร์และแบรนด์ต่าง ๆ เพิ่มขึ้นถึง 19.4% หรือเฉลี่ยราว 8,226 ดอลลาร์ คิดเป็น 14.2% ของราคาซื้อขายเฉลี่ย (ATP) ซึ่งถือว่าสูงที่สุดตั้งแต่ปี 2019

รถรุ่นเด่นที่มีดีลน่าสนใจจนราคาสุทธิหลังหักส่วนลดลงมาแตะระดับต่ำกว่า 40,000 ดอลลาร์ เช่น Ford Mustang Mach-E, Kia EV6, Nissan Ariya และ Acura ZDX

ในทางตรงกันข้าม ตลาด EV มือสองกลับเติบโตอย่างชัดเจน โดยราคาขายเฉลี่ยขยับขึ้น 0.9% จากเดือนเมษายน และเพิ่มขึ้น 2.6% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อยู่ที่ 36,053 ดอลลาร์ และยอดขายเติบโตถึง 32.1% จากปีที่แล้ว โดยเกือบครึ่งหนึ่งของยอดขาย (49.6%) เป็นรถ Tesla

Tesla Model 3 ครองแชมป์รถ EV มือสองขายดีในเดือนพฤษภาคม ด้วยราคาขายเฉลี่ย 23,160 ดอลลาร์ ลดลง 1.6% จากเดือนก่อนหน้า



ที่น่าสนใจคือ EV มือสองเริ่มมีจำนวนน้อยลง โดยมี "days of supply" (จำนวนวันที่สต๊อกจะหมด หากไม่มีรถเข้ามาเพิ่ม) เหลือเพียง 40 วัน ลดลง 11% จากปีที่แล้ว ต่ำที่สุดตั้งแต่กลางปี 2022

ในขณะที่ EV มือหนึ่งมีรถค้างสต๊อกเฉลี่ย 111 วันในเดือนพฤษภาคม เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 8% แต่ยังคงลดลง 11.6% จากพฤษภาคมปีที่แล้ว

Cox Automotive ระบุว่า “การขยายตัวของการใช้ EV ต้องมาพร้อมกับการเพิ่มทางเลือกที่ราคาจับต้องได้ สำหรับผู้บริโภคหลายคน ‘ราคา’ ยังคงเป็นอุปสรรคหลักในการตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้รถไฟฟ้า”

ตลาด EV ขณะนี้จึงอยู่ในภาวะสมดุลที่น่าสนใจ ฝั่งใหม่ราคาลดโปรแรง ฝั่งมือสองราคาขยับขึ้นแต่ยอดขายยังพุ่ง สำหรับผู้ซื้อ นี่อาจเป็นจังหวะทองในการคว้าดีลดี ๆ ก่อนสิทธิประโยชน์ด้านภาษีมูลค่า 7,500 ดอลลาร์ (สำหรับ EV ใหม่) และ 4,000 ดอลลาร์ (สำหรับมือสอง) จะหมดอายุลงในไม่ช้านี้
2


เรนาสโซ มอเตอร์ ผู้จำหน่ายรถยนต์ลัมโบร์กินีอย่างเป็นทางการรายเดียวในประเทศไทย เผยโฉม “Temerario” (เทเมราริโอ) ซูเปอร์สปอร์ตคาร์ปลั๊กอินไฮบริดรุ่นล่าสุดจากแบรนด์ซูเปอร์สปอร์ตคาร์หรูสัญชาติอิตาลี สุดยอดยนตรกรรมหนึ่งเดียวที่มาพร้อมขุมพลังไฮบริด V8 ทวินเทอร์โบใหม่ล่าสุด ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว มอบสมรรถนะการเร่งรอบเครื่องยนต์ได้สูงสุดถึง 10,000 รอบต่อนาที พร้อมสร้างมาตรฐานใหม่ทั้งด้านประสิทธิภาพอันทรงพลัง ประสบการณ์ขับขี่ที่เร้าใจ และสุนทรีย์แห่งการเดินทางอย่างเหนือชั้น



Temerario โดดเด่นอย่างเหนือชั้นในฐานะยนตรกรรมรุ่นที่สองในกลุ่มผลิตภัณฑ์รถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง (High Performance Electrified Vehicle: HPEV) ของลัมโบร์กินี ต่อยอดความสำเร็จจากรุ่นแห่งประวัติศาสตร์อย่าง Revuelto (เรเวลโต้) ซึ่งมาพร้อมเครื่องยนต์ V12 แบบไร้ระบบอัดอากาศ ผสานกับชุดเกียร์ดับเบิลคลัชต์ 8 สปีด และมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว ในขณะที่ Temerario ได้เปิดศักราชใหม่ด้วยขุมพลังปลั๊กอินไฮบริด V8 ทวินเทอร์โบสุดล้ำ ถือเป็นการเติมเต็มกลุ่มผลิตภัณฑ์รถยนต์ไฮบริดของลัมโบร์กินีอย่างสมบูรณ์แบบ หลังจากการเปิดตัว Urus SE (อูรุส เอสอี) ซูเปอร์เอสยูวีปลั๊กอินไฮบริดรุ่นแรกของแบรนด์เมื่อปีที่ผ่านมา

งานเปิดตัวในครั้งนี้ได้รับเกียรติจากคณะผู้บริหารระดับสูงของ ออโตโมบิลิ ลัมโบร์กินี นำโดย มร.สเตฟาน วิงเคิลมันน์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มร.เฟเดอริโก ฟอสชินี ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายและฝ่ายการตลาด และ มร.ฟรานเชสโก้ สกาดาโอนิ ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก



มร. สเตฟาน วิงเคิลมันน์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ออโตโมบิลิ ลัมโบร์กินี เผยว่า “การเปิดตัวของ Temerario ได้สร้างตำนานบทใหม่ในฐานะผู้บุกเบิกเซกเมนต์ที่นำเสนอไลน์อัปรถยนต์ไฮบริดเต็มรูปแบบเป็นรายแรก Temerario คือยนตรกรรมที่เปี่ยมไปด้วยความโดดเด่นอย่างเหนือชั้น ด้วยขุมพลังไฮบริด V8 ทวินเทอร์โบ 920 แรงม้า ที่มอบทั้งสมรรถนะและความสะดวกสบายในระดับสูงสุด เพื่อประสบการณ์ขับขี่ที่ยอดเยี่ยมไร้ที่ติ เครื่องยนต์รุ่นใหม่นี้ถูกออกแบบและพัฒนาขึ้นใหม่ทั้งหมด ณ ฐานการผลิตของเราใน Sant’Agata Bolognese ซึ่งเป็นศูนย์กลางที่มุ่งผลักดันความยั่งยืนและสร้างสรรค์เทคโนโลยี โดยผสานนวัตกรรมล้ำสมัยเข้ากับงานฝีมือชั้นสูงแบบอิตาเลียนอย่างลงตัว เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการเปิดตัว Lamborghini Temerario อย่างยิ่งใหญ่ในประเทศไทย ซึ่งเป็นตลาดที่เต็มไปด้วยพลังงานอันมีชีวิตชีวา และได้ร่วมฉลองความสำเร็จครั้งนี้ไปพร้อมกับกลุ่มคนผู้รักลัมโบร์กินีอย่างแท้จริง”

ด้าน มร.ฟรานเชสโก้ สกาดาโอนิ ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ออโตโมบิลิ ลัมโบร์กินี กล่าวว่า “Temerario ได้สะท้อนถึงดีเอนเอแบรนด์สัญชาติอิตาเลียนของเรา ทั้งดีไซน์อันโดดเด่น เทคโนโลยียานยนต์ไฮบริดสุดล้ำ และสมรรถนะระดับสูงสุด ที่มอบสุนทรีย์ในการขับขี่อย่างแท้จริง พร้อมเสียงเครื่องยนต์อันทรงพลังที่บ่งบอกความเป็นลัมโบร์กินีอย่างชัดเจน ความพิเศษอันเหนือชั้นของรถคันนี้ ไม่จำกัดเพียงในด้านสมรรถนะเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสบายและพื้นที่ใช้สอยด้วย นับเป็นซูเปอร์สปอร์ตคาร์ที่ปลดปล่อยศักยภาพได้อย่างเต็มที่ทั้งในสนามแข่งและบนถนนจริง ขณะเดียวกันยังมอบพื้นที่สำหรับผู้โดยสารและสัมภาระได้มากกว่ารถรุ่นอื่นๆ ในเซกเมนต์เดียวกัน เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้นำเสนอยนตรกรรมอันโดดเด่นรุ่นนี้สู่ประเทศไทย ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพเติบโตอย่างต่อเนื่องในภูมิภาคนี้”



Temerario ปรากฏโฉมในสีน้ำเงิน Blu Marinus พร้อมผิวสัมผัสแบบแมตต์ที่โดดเด่น สะกดทุกสายตาผู้ร่วมงาน    ซึ่งเป็นแขกกลุ่มแรกที่ได้ยลโฉมและสัมผัสความพิเศษจากความร่วมมือระหว่างลัมโบร์กินีและแบรนด์พันธมิตร   อย่างบริดจสโตน (Bridgestone) พร้อมเปิดประสบการณ์การปรับแต่งรถในแบบฉบับเฉพาะตัวผ่านโปรแกรม Ad Personam ของลัมโบร์กินี ที่นำเสนอตัวเลือกสีตัวถังภายนอกมากกว่า 400 เฉดสี การตกแต่งภายในที่เข้าชุดอย่างลงตัว และออปชันพิเศษอีกหลากหลายรายการ

ขุมพลังไฟฟ้าที่ปลุกสัมผัสการขับขี่เหนือระดับ

Temerario มาพร้อมขุมพลังใหม่ล่าสุด ด้วยเครื่องยนต์ V8 ทวินเทอร์โบ ขนาด 4.0 ลิตร ที่สามารถเร่งรอบเครื่องยนต์ได้สูงสุดถึง 10,000 รอบต่อนาที ซึ่งนับเป็นรอบเครื่องยนต์สูงสุดสำหรับรถซูเปอร์สปอร์ตคาร์ที่ผลิตออกจำหน่ายจริง ให้กำลังสูงสุด 800 แรงม้า และแรงบิด 730 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว โดยติดตั้งที่เพลาหน้า 2 ตัว และในชุดเกียร์ดับเบิลคลัตช์ 8 สปีด อีก 1 ตัว มอบกำลังรวมสูงสุดถึง 920 แรงม้า พร้อมแรงบิดที่ตอบสนองทันที การยึดเกาะถนนที่เหนือกว่า และประสบการณ์การขับขี่ที่ไร้คู่แข่ง ที่ยังคงไว้ซึ่งดีเอ็นเอของลัมโบร์กินีอย่างชัดเจน



สมรรถนะอันโดดเด่นนี้เกิดขึ้นจากการผสานเทคโนโลยีไฮบริดอย่างเต็มรูปแบบ โดย Temerario สามารถเร่งเครื่องยนต์จาก 0–100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 2.7 วินาที และจาก 0–200 กม./ชม. ภายใน 7.4 วินาที พร้อมความเร็วสูงสุดที่ 343 กม./ชม. ขณะเดียวกัน มอเตอร์ไฟฟ้าบนเพลาหน้ายังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขับเคลื่อน และทำให้ Temerario สามารถขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% ได้อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งมีส่วนช่วยลดการปล่อยก๊าซ CO₂ ได้สูงสุดถึง 50% เมื่อเทียบกับรุ่น Huracán

ดีไซน์ที่เสริมสมรรถนะเหนือระดับ

Temerario ได้รับการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์เพื่อให้บรรลุประสิทธิภาพการขับขี่สูงสุด โดยมุ่งเน้น 3 เป้าหมายหลัก ได้แก่ เสถียรภาพที่ระดับความเร็วสูง การระบายความร้อนที่ดีขึ้น และประสิทธิภาพการเบรกขั้นสูงสุด ทุกองค์ประกอบได้รับการรังสรรค์ขึ้นอย่างแม่นยำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการไหลเวียนของอากาศ อาทิ ดวงไฟ DRL ทรงหกเหลี่ยมด้านหน้าที่มาพร้อมแผงปรับทางลมและช่องรับลม ไปจนถึงอุปกรณ์สร้างการหมุนเวียนของลมใต้ท้องรถ ล้วนส่งผลให้แรงกดด้านท้ายเพิ่มขึ้นถึง 103% เมื่อเทียบกับรถรุ่น Huracán EVO (ฮูราแคน อีโว) และสามารถเพิ่มได้สูงสุดถึง 158% เมื่อติดตั้งชุดวัสดุ Alleggerita Pack อีกทั้ง ช่องกลางหลังคาที่เชื่อมต่อกับสปอยเลอร์หลังยังช่วยเสริมประสิทธิภาพการไหลของอากาศ ในขณะที่ขอบฝากระโปรงเครื่องยนต์ด้านข้างที่มีดีไซน์โค้งมนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น นอกจากนี้ แนวคิดใหม่ในการระบายความร้อนระบบเบรกยังเข้ามาช่วยยกระดับสมรรถนะโดยรวม ด้วยการระบายความร้อนที่คาลิเปอร์เพิ่มขึ้นถึง 50% และระบายความร้อนจานเบรกได้ดีขึ้นถึง 20% เมื่อเทียบกับรุ่น Huracán EVO แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในทุกรายละเอียดเพื่อประสิทธิภาพสูงสุดอย่างแท้จริง



ห้องโดยสารภายใน ‘Feel like a pilot’

การออกแบบห้องโดยสารภายในของ Temerario สะท้อนแนวคิด ‘Feel like a pilot’ (ความรู้สึกเสมือนเป็นนักบิน) ของลัมโบร์กินีได้อย่างชัดเจน ผ่านตำแหน่งเบาะนั่งที่ต่ำ แดชบอร์ดดีไซน์เพรียวบาง และพวงมาลัยที่เอียงในองศาที่สมบูรณ์แบบ ทำให้ผู้ขับขี่เข้าถึงสไตล์การขับขี่ได้อย่างเต็มที่ เบาะนั่งสปอร์ตปรับไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่มอบความสบายสูงสุด หรือสามารถเลือกเบาะนั่งแบบคาร์บอนไฟเบอร์ที่ออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์และปรับแต่งได้หลากหลาย ทั้งระบบทำความร้อน การระบายอากาศ และสีสันที่แตกต่างกัน



ภายในห้องโดยสารสะท้อนดีไซน์ภายนอกอันโดดเด่น โดยผสมผสานประสบการณ์ดิจิทัลเข้ากับประสาทสัมผัสได้อย่างลงตัว โดยลัมโบร์กินีเลือกใช้วัสดุคุณภาพสูงสุด อาทิ คาร์บอน หนัง และไมโครไฟเบอร์ Dinamica® Corsatex Suede ทั่วทั้งห้องโดยสาร พร้อมกันนี้ องค์ประกอบการตกแต่งภายใน เช่น คอนโซลกลาง ช่องระบายอากาศ แผงประตู แดชบอร์ด พวงมาลัย และคอพวงมาลัย ยังมีให้เลือกใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบาเป็นออปชันเสริมอีกด้วย

นอกจากนี้ ห้องโดยสารของ Temerario ยังสะท้อนประสบการณ์ดิจิทัลที่ล้ำสมัยที่สุดของลัมโบร์กินี ด้วยการจัดวางจอแสดงผล 3 หน้าจอ ได้แก่ แดชบอร์ดดิจิทัลขนาด 12.3 นิ้ว หน้าจอสัมผัสกลางขนาด 8.4 นิ้ว และหน้าจอสำหรับผู้โดยสารขนาด 9.1 นิ้ว ที่แสดงข้อมูลรถแบบเรียลไทม์ พร้อมระบบอินโฟเทนเมนต์และฟังก์ชันเสริมประสบการณ์ร่วมขับเสมือนเป็นผู้ช่วยนักบิน ผู้ขับสามารถเข้าถึงกล้องติดรถ ธีมอินเทอร์เฟซที่เปลี่ยนตามโหมดการขับขี่ และฟังก์ชันขั้นสูงอย่าง Telemetry 2.0 ได้อย่างสะดวกรวดเร็วผ่านทั้งแดชบอร์ดโฉมใหม่และบริเวณเบาะที่นั่ง ตามปรัชญา “Feel like a pilot” อย่างแท้จริง ช่องระบายอากาศทรงหกเหลี่ยมอันเป็นเอกลักษณ์และคอนโซลกลางช่วยเพิ่มพื้นที่จัดเก็บเพื่อความสะดวกสบายสูงสุด พวงมาลัยติดตั้งปุ่มควบคุมโหมดการขับ ฟังก์ชันยกตัวรถ ปุ่ม “Race Start” ไฟเลี้ยว และ Launch Control เพื่อมอบสมาธิสูงสุดในทุกการขับขี่



สุดยอดประสบการณ์การขับขี่ที่ควบคุมได้ดั่งใจ

Temerario มอบประสบการณ์การขับขี่ที่หลากหลายถึง 13 รูปแบบ ตอบโจทย์ทั้งการใช้งานในชีวิตประจำวันและความเร้าใจบนสนามแข่ง ด้วยความสามารถรอบด้านของซูเปอร์สปอร์ตคาร์คันนี้ ผู้ขับสามารถเลือกโหมดการขับขี่แบบไดนามิกผ่านระบบ ANIMA (Adaptive Network Intelligent Management) ของลัมโบร์กินีได้ 5 โหมดหลัก ได้แก่ Città, Strada, Sport, Corsa และ Corsa Plus แต่ละโหมดจะปรับการส่งกำลัง ระบบช่วงล่าง อากาศพลศาสตร์ และประสิทธิภาพของระบบไฮบริดให้เหมาะสมกับทุกสภาพการขับขี่ ตั้งแต่การขับขี่ในเมืองไปจนถึงการเร่งเต็มพิกัดบนสนามแข่ง

นอกจากนี้ ยังมีโหมดจัดการพลังงานไฮบริดอีก 3 โหมด ได้แก่ Recharge, Hybrid และ Performance ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและการชาร์จไฟจากแรงเบรก เสริมด้วยโหมดใหม่ล่าสุดอย่าง Drift Mode ที่สามารถควบคุมและปรับแรงบิดได้ 3 ระดับ ช่วยให้การควบคุมการหักเลี้ยวแบบโอเวอร์สเตียร์เป็นไปได้อย่างแม่นยำ มอบประสบการณ์ที่ทั้งเร้าใจและควบคุมได้อย่างมั่นใจ



การปรับแต่งที่ไร้ขีดจำกัด

Temerario เปิดตัวด้วยสองสีพิเศษใหม่ ได้แก่ สีฟ้า Blu Marinus และสีเขียว Verde Mercurius พร้อมมอบอิสระให้ลูกค้าปรับแต่งรถเพื่อสะท้อนตัวตนได้อย่างไม่รู้จบผ่านโปรแกรม Ad Personam ของลัมโบร์กินี ที่นำเสนอสีตัวถังกว่า 400 เฉด รวมถึงลวดลายพิเศษ นอกจากนี้ ยังมาพร้อมล้อแมกรุ่นใหม่ถึง 3 ดีไซน์และวัสดุที่แตกต่างกัน พร้อมออปชันคาร์บอนไฟเบอร์สำหรับตกแต่งทั้งภายในและภายนอกหลากหลายชิ้นส่วน ไม่ว่าจะต้องการสื่อถึงความสปอร์ต ความหรูหรา หรือทั้งสองอย่างในแบบเฉพาะตัว ทุกการคัสตอมคือภาพสะท้อนบุคลิกและไลฟ์สไตล์ของเจ้าของอย่างแท้จริง

3


สัญญาณบวกเริ่มมีอย่างต่อเนื่อง เมื่อรายงานยอดขายรถใหม่รอบล่าสุดเดือนพฤษภาคม มีจำนวนยอดขายที่มีมากกว่าเดิมเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยมียอดรวมทั้งหมด 52,229 คัน เพิ่มขึ้น 4.7% โดยยังเป็น Toyota ที่ครองยอดขายสูงสุดเช่นเคย



ตลาดรถยนต์เดือนพฤษภาคม 2568 มียอดขาย 52,229 คัน เพิ่มขึ้น 4.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว กลุ่มตลาดรถยนต์นั่งปรับตัวดีขึ้น ด้วยยอดขาย 21,935 คัน เพิ่มขึ้น 17.4% จากปีที่ผ่านมา ตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ชะลอตัวลงเล็กน้อย ยอดขาย 30,294 คัน ลดลง 2.9% และตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน ยอดขาย 14,333 คัน ลดลง 18.8% รถยนต์ HEV มียอดขาย 10,765 คัน ลดลงจากปีที่แล้วเล็กน้อยที่ 2.4% และมียอดขายสะสมห้าเดือนแรกถึง 55,766 คัน คิดเป็นส่วนแบ่ง 50.7% ของตลาด xEV ทั้งหมด
ตลาดรถยนต์เดือนมิถุนายน มีแนวโน้มจะปรับตัวลงจากเดือนพฤษภาคมเล็กน้อย ด้วยยอดขายที่ลดลงตามฤดูกาล และผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในประเทศ อาจส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอการซื้อ

ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ เดือนพฤษภาคม 2568

ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 52,229 คัน เพิ่มขึ้น 4.7%
อันดับที่ 1 Toyota 19,201 คัน ลดลง 1.6%
อันดับที่ 2 Isuzu 5,976 คัน ลดลง 24.2%
อันดับที่ 3 Honda 5,481 คัน ลดลง 16%
ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 21,935 คัน เพิ่มขึ้น 17.4%
อันดับที่ 1 Toyota 7,093 คัน เพิ่มขึ้น 23.1%
อันดับที่ 2 Honda 3,646 คัน เพิ่มขึ้น 1%
อันดับที่ 3 BYD 2,657 คัน เพิ่มขึ้น 141.3%
ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 30,294 คัน ลดลง 2.9%
อันดับที่ 1 Toyota 12,108 คัน ลดลง 11.9%
อันดับที่ 2 Isuzu 5,976 คัน ลดลง 24.2%
อันดับที่ 3 Honda 1,835 คัน ลดลง 37.1%
ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน  (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV*) ปริมาณการขาย 14,333 คัน ลดลง 18.8%
อันดับที่ 1 Toyota 6,852 คัน ลดลง 12.8%
อันดับที่ 2 Isuzu 5,149 คัน ลดลง 25.1%
อันดับที่ 3 Ford 1,445 คัน ลดลง 14.9%
*ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง (ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน) 3,099 คัน Toyota 1,301 คัน -– Isuzu 896 คัน -– Ford 697 คัน – Mitsubishi 113 คัน – Nissan 92 คัน
ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 11,234 คัน ลดลง 24.3%
อันดับที่ 1 Toyota 5,551 คัน ลดลง 18.8%
อันดับที่ 2 Isuzu 4,253 คัน ลดลง 28.8%
]อันดับที่ 3 Ford 748 คัน ลดลง 35.3%

สถิติการจำหน่ายรถยนต์ เดือนมกราคม –  พฤษภาคม 2568

ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 252,615 คัน ลดลง 3%
อันดับที่ 1 Toyota 94,784 คัน ลดลง 3%
อันดับที่ 2 Isuzu 31,881 คัน ลดลง 18.6%
อันดับที่ 3 Honda 30,206 คัน ลดลง 19.2%
ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 98,086 คัน ลดลง 3.4%
อันดับที่ 1 Toyota 33,069 คัน เพิ่มขึ้น 18.6%
อันดับที่ 2 Honda 16,542 คัน ลดลง 22.2%
อันดับที่ 3 BYD 9,622 คัน ลดลง 1.4%
ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 154,529 คัน ลดลง 2.7%
อันดับที่ 1 Toyota 61,715 คัน ลดลง 11.6%
อันดับที่ 2 Isuzu 31,881 คัน ลดลง 18.6%
อันดับที่ 3 Honda 13,664 คัน ลดลง 15.3%
ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน  (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV*) ปริมาณการขาย 78,091 คัน ลดลง 14.9%
อันดับที่ 1 Toyota 35,331 คัน ลดลง 15.4%
อันดับที่ 2 Isuzu 28,048 คัน ลดลง 18.6%
อันดับที่ 3 Ford 8,001 คัน ลดลง 17%
*ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง (ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน) 15,365 คัน Toyota 6,036 คัน - Isuzu 5,195 คัน - Ford 3,139 คัน – Mitsubishi 759 คัน – Nissan 236 คัน
ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 62,726 คัน ลดลง 16.9%
อันดับที่ 1 Toyota 29,295 คัน ลดลง 18.1%
อันดับที่ 2 Isuzu 22,853 คัน ลดลง 22.1%
อันดับที่ 3 Ford 4,862 คัน ลดลง 18.3%
4


ย้อนกลับไปในปี 2012 ขณะที่โลกของรถยนต์สมรรถนะสูงกำลังร้อนแรง Shelby ตัดสินใจเปิดตัว Mustang รุ่นที่แรงเกินขีดสุดของตรรกะทั่วไป ด้วยชื่อที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังว่า “Shelby 1000” ซึ่งถือเป็นรุ่นแรงที่สุดที่เคยสร้างจากสายการผลิตของค่ายในเวลานั้น
จุดเริ่มต้นของมันมาจาก GT500 หรือ Super Snake ที่ถูกอัปเกรดด้วยชุดพลังจาก Shelby Performance รวมถึง
* ซูเปอร์ชาร์จ Kenne Bell ขนาด 3.6 ลิตร
* หัวฉีดใหม่
* ระบบเชื้อเพลิงแบบอัปเกรด
* ลูกสูบ-ก้านสูบฟอร์จ
* ฝาสูบพอร์ตใหม่



ทำให้ได้กำลังสูงสุด 950 แรงม้า แรงบิด 750 lb-ft บนถนนธรรมดา และถ้าคุณยังไม่พอ เวอร์ชันสนามแข่งให้ถึง 1,100 แรงม้า ทำความเร็ว 0-60 ไมล์/ชม. ได้ในราว 3.7 วินาที — ตัวเลขที่ทำให้เจ้าของซูเปอร์คาร์ต้องหันมามอง

ล่าสุด Shelby 1000 คันหนึ่งกำลังจะถูกนำขึ้นประมูลที่ Mecum Auctions ซึ่งพิเศษยิ่งกว่าด้วยประวัติที่ไม่ธรรมดา เพราะมันถูกสร้างขึ้นเฉพาะตัวให้กับ David Yurman ดีไซเนอร์จิวเวลรี่ระดับโลก และวิ่งไปเพียง 973 ไมล์ (1,565 กม.) เท่านั้น



นอกจากเครื่องยนต์ที่แรงเกินพิกัด ตัวรถยังได้รับการปรับปรุงในหลายจุดเพื่อรับมือกับพละกำลังมหาศาล:
* เฟืองท้าย 9 นิ้ว
* เบรกหน้า 6 พอต / หลัง 4 พอต
* เพลาขับเสริมความแข็งแรง
* ช่วงล่างใหม่ทั้งสปริง สเวย์บาร์ และบุชชิ่ง
* ฝากระโปรงคาร์บอนไฟเบอร์แบบมีช่องระบายความร้อน



และที่สำคัญที่สุด Shelby 1000 คันนี้เป็นรุ่นสุดท้ายที่ Carroll Shelby ดูแลด้วยตัวเองก่อนเสียชีวิตในเดือนพฤษภาคม ปี 2012 ทำให้มันยิ่งมีคุณค่าทางจิตใจและสะสมยิ่งขึ้น

ราคาตั้งต้นในปีนั้นอยู่ที่ 200,000 ดอลลาร์สหรัฐ รวมค่ารถ GT500 พื้นฐาน ซึ่งถือว่าเป็นระดับ "ซูเปอร์คาร์" ทั้งในยุคนั้นและตอนนี้
หากคุณกำลังมองหา Mustang ที่ไม่เหมือนใครในโลก มีแรงม้าเท่า Bugatti และความหายากระดับสะสมได้จริง คันนี้คือโอกาสของคุณ แต่เตรียมตัวไว้ให้ดี เพราะราคาปิดประมูลอาจไม่เบาเลย



ที่มา Carscoops
5


Toyota ฉลอง 25 ปีของ Prius ในตลาดสหรัฐอเมริกา รถไฮบริดรุ่นบุกเบิกที่เคยเป็นจุดเริ่มต้นของยุคยานยนต์ไฟฟ้า แม้จะไม่มีรุ่นฉลองพิเศษโดยเฉพาะ แต่ Prius รุ่นปี 2026 ก็มีการปรับราคาขึ้นเล็กน้อย โดยรุ่นเริ่มต้น LE เพิ่มขึ้น $200 ไปอยู่ที่ $28,550 (ประมาณ 1.05 ล้านบาท) ส่วนรุ่น XLE, Limited และ Nightshade ก็ขยับขึ้นในอัตราใกล้เคียงกัน



ในด้านอุปกรณ์ Prius ยังคงมาพร้อมชุดระบบความปลอดภัย Toyota Safety Sense 3.0 ระบบไฮบริดเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ที่ให้กำลังรวม 194 แรงม้า (หรือ 196 แรงม้าสำหรับรุ่น AWD) และมีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันสูงสุดถึง 57 ไมล์ต่อแกลลอน (ประมาณ 24.2 กม./ลิตร)



จุดใหม่ที่น่าสนใจสำหรับปี 2026 คือการเพิ่มรุ่น Prius Prime Nightshade Edition ซึ่งเป็นรุ่นย่อยพิเศษของ Prius แบบปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ที่เน้นความสปอร์ตด้วยชุดตกแต่งสีดำรอบคัน ไม่ว่าจะเป็นตราสัญลักษณ์ ล้อขนาด 19 นิ้ว มือจับประตู และเสาอากาศ
รุ่น Nightshade นี้ใช้พื้นฐานจากรุ่น XSE และมีสีให้เลือก 3 สี ได้แก่ Midnight Black Metallic, Wind Chill Pearl และสีพิเศษ Karashi ภายในตกแต่งด้วยเบาะหนัง SofTex สีดำ ตัดด้วยด้ายสีเทา พร้อมตกแต่งคอนโซลด้วยลายคาร์บอนเทียม



Prius Prime ยังคงใช้ขุมพลัง PHEV เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ทำงานร่วมกับแบตเตอรี่ 13.6 kWh และมอเตอร์ไฟฟ้าสองตัว ให้พลังรวม 220 แรงม้า และสามารถวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนได้ไกลถึง 44 ไมล์ (71 กม.) ราคาเริ่มต้นสำหรับปี 2026 ขยับขึ้น $400 อยู่ที่ $33,775 (ประมาณ 1.25 ล้านบาท)

แม้จะไม่มีรุ่นพิเศษฉลองครบ 25 ปีอย่างที่หลายคนหวัง แต่ Prius ก็ยังคงเดินหน้าอย่างมั่นคงในฐานะรถไฮบริดที่มีอิทธิพลต่อวงการยานยนต์ทั่วโลก



ที่มา Carscoops
6


Ford Territory SUV ไซส์กลางที่ผลิตในจีนและวางขายในหลายประเทศภายใต้ชื่อ “Equator Sport” กำลังจะเปิดตัวโฉมใหม่ในหลายตลาดทั่วโลก เริ่มจากบราซิลในเดือนหน้า โดยยังคงใช้ชื่อ “Territory” เหมือนเดิม แม้จะต่างจากชื่อเดิมในออสเตรเลียที่ใช้ชื่อเดียวกันกับโมเดลอีกแบบ



การปรับโฉมครั้งนี้เน้นการเปลี่ยนแปลงที่ด้านหน้าเป็นหลัก โดย Territory เวอร์ชันใหม่ทิ้งดีไซน์ไฟหน้าสองชั้นแบบรุ่นก่อนหน้า แล้วมาใช้กระจังหน้าใหม่ที่มีลวดลายโครเมียมเฉพาะตัว พร้อมกันชนหน้าและหลังที่ออกแบบใหม่ให้ดูพรีเมียมยิ่งขึ้นด้วยชิ้นส่วนสีเดียวกับตัวถัง

ด้านข้างตัวรถยังคงขนาดเดิมที่ 4,685 มม. แต่เปลี่ยนมาใช้ล้อขนาด 19 นิ้วลายใหม่ และมือจับประตูแบบโครเมียม รุ่นที่โชว์ในภาพคือรุ่น Titanium ซึ่งจะเป็นรุ่นเดียวที่ขายในบราซิลในช่วงแรก



ห้องโดยสารยังคงดีไซน์เดิม พร้อมหน้าจอคู่ขนาด 12.3 นิ้วทั้งมาตรวัดและจอกลาง infotainment โดยมีการเพิ่มชุดสีเบาะใหม่และตัวเลือกวัสดุตกแต่งใหม่ในห้องโดยสาร รายละเอียดเพิ่มเติมจะประกาศใกล้วันเปิดตัว

ด้านสมรรถนะยังคงใช้เครื่องยนต์เบนซิน EcoBoost 1.5 ลิตร เทอร์โบ 166 แรงม้า แรงบิด 260 นิวตันเมตร จับคู่เกียร์อัตโนมัติคลัตช์คู่ 7 สปีด และระบบขับเคลื่อนล้อหน้าเท่านั้น ไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างหรือระบบส่งกำลังในเวอร์ชันบราซิล แม้ว่าเวอร์ชันจีนจะมีตัวเลือกไฮบริดแบบเสียบปลั๊ก (PHEV) ด้วย



Ford Territory โฉมใหม่เพิ่งเปิดตัวต่อสาธารณะครั้งแรกในงาน Interlagos Festival ที่เซาเปาโล โดยในปีที่ผ่านมา Ford รายงานว่ายอดขาย Territory ในบราซิลเติบโตขึ้นถึง 4 เท่า โดยมียอดขายทะลุ 5,000 คัน และคาดว่าหลังการปรับโฉม ยอดขายจะเดินหน้าเติบโตต่อเนื่อง ราคายังไม่ประกาศ แต่รุ่นปัจจุบันเริ่มต้นที่ราว R$ 215,000 (ประมาณ 38,900 ดอลลาร์)

หลังจากบราซิล Territory โฉมใหม่นี้ก็เตรียมเดินทางไปสู่ตลาดต่างประเทศอื่น ๆ อีกหลายแห่ง เช่น อาร์เจนตินา เม็กซิโก ฟิลิปปินส์ เวียดนาม แอฟริกาใต้ และซาอุดีอาระเบีย

ที่มา Carscoops
7


Ford กำลังพา Mustang Mach-E รุ่นดัดแปลงพิเศษไต่เขา Pikes Peak ในงาน Race to the Clouds ปีที่ 103 ซึ่งแม้ว่าคันนี้จะเป็นเวอร์ชัน “ลดครึ่งกำลัง” จากของจริง แต่ตัวเลขแรงม้า 1,421 แรงม้า ก็ยังมากพอจะทำให้ทุกคนต้องเหลียวมอง



Mach-E คันนี้ใช้มอเตอร์ 3 ตัว (1 ตัวที่ล้อหน้า และ 2 ตัวที่ล้อหลัง) แบบเดียวกับที่เคยใช้ใน SuperTruck เมื่อปีที่แล้ว แต่คราวนี้ Ford ปรับให้เบาขึ้นถึง 117 กิโลกรัม และเพิ่มแรงกดอากาศจาก 6,125 ปอนด์ เป็น 6,900 ปอนด์ ที่ความเร็ว 150 ไมล์/ชม. เรียกได้ว่า “แน่นถนน” อย่างแท้จริง



สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้น คือ Ford มีเวอร์ชัน 4 มอเตอร์ของ Mach-E ที่สามารถสร้างพลังได้ถึง 2,250 แรงม้าอยู่ในมือ แต่เลือกจะยังไม่ส่งลงแข่งในปีนี้ ด้วยเหตุผลที่ยังไม่ได้เปิดเผย

เบื้องหลังความมั่นใจของ Ford ยังมีนักขับฝีมือระดับโลกอย่าง Romain Dumas ผู้ถือสถิติเร็วที่สุดตลอดกาลของ Pikes Peak (ทำไว้กับ Volkswagen ID.R ในปี 2018) ซึ่งจะกลับมาบังคับพวงมาลัยให้ Mach-E คันนี้เช่นกัน



Ford บอกว่าโปรเจกต์นี้ไม่ใช่แค่เพื่อสร้างความตื่นเต้นเท่านั้น แต่คือสนามทดสอบจริงจังสำหรับเทคโนโลยีที่เตรียมนำไปใช้ในรถไฟฟ้ารุ่นขายจริง ทั้งระบบควบคุมพลังงาน การจัดการความร้อน และการเก็บข้อมูลเพื่อปรับปรุงการขับขี่ในระดับสูง

และถึงแม้ Mustang Mach-E จะเป็นรถ 4 ประตู ที่ในสายตาแฟนพันธุ์แท้อาจดู “นอกรีต” แต่ถ้าดูจากคันที่กำลังจะขึ้นเขาในวันที่ 22 มิถุนายนนี้ อาจต้องยอมรับว่า “ความแรง” ก็ช่วยให้ลืมเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของชื่อ Mustang ไปชั่วคราวได้เหมือนกัน

ที่มา Carscoops
8
Sexy Room / (รูปภาพ เซ็กซี่ 18+) • เทียร์ •
« กระทู้ล่าสุด โดย Hugball เมื่อ 22-06-25, 09:14:48 am »









Model : Sasikran Boonprasert
Photo : Artwha Desu
9
Sexy Room / (รูปภาพ เซ็กซี่ 18+) • เฟย์ •
« กระทู้ล่าสุด โดย Hugball เมื่อ 22-06-25, 09:11:39 am »














ช่างภาพ : ปวีณ กุลเกษม
นางแบบ : เฟย์ ชาคริยา
10
Motor Zone / ขับรถแล้วเจอไฟแดงกระพริบต้องทําอย่างไร?
« กระทู้ล่าสุด โดย Hugball เมื่อ 22-06-25, 09:09:05 am »


สัญลักษณ์จราจรที่มีติดอยู่บนเส้นทางต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสายหลักหรือสายรอง เราก็ต้องปฏิบัติตามป้ายหรือสัญญาณจราจรนั้น ๆ อย่างเคร่งครัด แต่มีหลายคนเลยที่มีข้อสงสัยว่า การที่เราขับรถไปเจอกับไฟแดงที่กระพริบอยู่ ควรต้องทำตัวอย่างไร วันนี้เรามีคำตอบครับ



ถ้าไปเปิดดูตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 22 ในหมวดลักษณะ 2 สัญญาณจราจรและเครื่องหมายจราจร จะมีระบุเอาไว้ในวงเล็บ 5 ว่า "สัญญาณจราจรไฟกระพริบสีแดง ถ้าติดตั้งอยู่ที่ทางร่วมทางแยกใดเปิดทางด้านใดให้ผู้ขับขี่ที่มาทางด้านนั้นหยุดรถหลังเส้นให้รถหยุด เมื่อเห็นว่าปลอดภัยและไม่เป็นการกีดขวางการจราจรแล้ว จึงให้ขับรถต่อไปได้ด้วยความระมัดระวัง" นั่นหมายความว่า ถ้าทางที่คุณกำลังขับรถไป แล้วพบกับสัญญาณไฟแดงกระพริบ ให้จอดรถจนหยุดสนิทที่หลังเส้นตรงทางแยกก่อน แล้วมองรอบด้านว่ามีรถวิ่งมาหรือไม่ ถ้าไม่มีก็ให้เดินหน้าผ่านแยกนั้นไปได้เลย



แต่ถ้าเจอสัญญาณจราจรไฟกระพริบสีเหลืองต้องทำอย่างไร ก็มีระบุเอาไว้ในวงเล็บ 6 ว่า "สัญญาณจราจรไฟกระพริบสีเหลืองอำพัน ถ้าติดตั้งอยู่ ณ ที่ใด ให้ผู้ขับขี่ลดความเร็วของรถลงและผ่านทางเดินรถนั้นไปด้วยความระมัดระวัง" หมายความว่าถ้าเราเจอสัญญาณไฟกระพริบสีเหลือง ให้เราเพียงแค่ชะลอความเร็วเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องหยุด ถ้าเห็นว่าปลอดภัยแล้วสามารถเดินหน้าผ่านแยกนั้นไปได้เลย

ข้อมูลจาก Krisdika
หน้า: [1] 2 3 ... 10